วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2562

แด่ผู้หลงเข้ามา

         




               บางทีแค่ความรู้สึกของคนๆนึงมันก็ไม่ได้มีความหมายมากมายอะไร กับใครสักหน่อย ทั้งที่แต่ละคนก็ต้องแบกรับเรื่องราวต่างๆเอาไว้มากมาย สิ่งนั้นมันก็หนักหนาเกินพออยู่แล้วและอีกอย่าง การที่คนจะเห็นคุณค่าต่อกันนั้น มันก็ต้องมีปัจจัย เห็นความวิเศษซึ่งกันจึงจะมีโอกาสรับเอาเรื่องราวของชีวิตอีกคนและชวยกันแก้ใขปัญหาและอุปสรรคในชีวิตไปด้วยกัน โดยส่วนตัวแล้วเห็นได้ว่าโลกในทุกวันนี้มีบางอย่างที่ทำให้คนหันหลังให้กันมากกว่าแต่ก่อนมันคงจะเป็นเพราะความเจริญที่เพิ่มขึ้น ต่างคนต่างหันหน้าออกห่างและมีปัญหาต่อกันมากมายเกิดขึ้น มันเป็นความเห็นแก่ตัวที่น่ากลัวมาก และยิ่งดูเหมือว่านับวันมันก็ยิ่งจะขยายเป็นวงกว้างขึ้น ฉันเกิดในช่วงหนึ่งที่โลกใบนี้กำลังพัฒนาฉันเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก จากช่วงเวลานั้น ฉันเป็นดั่งรอยต่อของประวัติศาสตร์เล็กๆ และนำเรื่องราวที่ฉันพบเขียนเป็นบันทึกและเล่าเรื่องราวบางอย่างเอาไว้ ช่วงแรกของชีวิตฉันยังคงเห็นความสุขของคนใกล้เคียงและครอบครัวที่อบอุ่น มีท้องนา ถนนดินลูกรัง ตื่นเช้าต้องเดินเท้าไปโรงเรียน  อากาศที่แสนจะบริสุทธิ์ มันไม่บั่นทอนสุขภาพร่างกาย การไปตลาดที่มีระยะทางแค่ 13 กิโลเมตร เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากๆฉันต้องตื่นนอนแต่หัวรุ่งเพื่อออกไปรอรถโดยสารแค่ไม่กี่คันในหมู่บ้าน และเราก็ใช้เวลาค่อนวันเพื่อไปและกลับแต่บางทีในช่วงฤดูฝนมันก็จะลำบากหน่อยเพราะเส้นทางจะเต็มไปด้วยโคลนตม รถผ่านลำบากคนที่ร่วมทางโดยสารก็ต้องช่วยกันเข็นเพื่อให้ร่วมทางกันไปสู่จุดหมาย มันเป็นความสามัคคีที่เห็นกันบ่อยในสมัยนั้น การไปโรงเรียนแต่ละครั้งก็ต้องเดินไปแต่เช้า สองข้างทางเต็มไปด้วยท้องนา มีลูกไม้ที่พอกินได้ก็เก็บกินแม้มันจะไม่ใช่ของอร่อยแต่ มันก็มีความสุขที่ได้กิน มีเพื่อนๆแย่งกันกินอย่างสนุกสนาน กลับจากโรงเรียนต้องต่อแถวเดินตามหลังกันมีคนที่บ้านอยู่ไกลหน่อยก็จะถือธงเป็นหัวหน้านำแถว พอเวลาผ่านไปฉันก็เริ่มมีจักยาน ขี่ไปโรงเรียนเป็นช่วงที่ความเจริญเริ่มเข้ามาเริ่มมีทีวีใช้ แต่การติดต่อทั่วไปก็ยังคงใช้จดหมายเพราะยังไม่มีบริการโทรศัพย์ในชนบท ฉันเริ่มเห็นคนเริ่มใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง เริ่มมีการส่งจรวดขึ้นสู่อวกาศ และจากนั้นมาก็มีความเจริญของเทคโนโลยีเข้ามาเรื่อยๆไม่ขาดทุกอย่างเริ่มกระจายตัวเข้าสู่ชนบทเริ่มจากมีตู้โทรศัพย์สาธารณะ ช่วงนั้นฉันก็อายุพอเข้าวัยรุ่นก็ตื่นเต้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านั้โดยไม่รู้ว่าความเจริญที่เริ่มเข้ามาจะเริ่มทำลายความสุขมี่เคยมีมาแต่ก่อน และสิ่งที่น่ากลัวก็เกิดขึ้น คนเริ่มติดความสุขสบาย เริ่มหันหลังให้กันความสามัคคีเริ่มหายไปแต่ละคนก็เริ่มคุยกันน้อยลง ท้องทุ่งนาไม่มีเหมือนแต่ก่อนแต่ละบ้านมีรถเป็นของตัวเอง ถนนหนทางสะดวกขึ้น แต่ความตายบนท้องถนนก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ความรักของคนเริ่มเปลี่ยนไปเป็นความเห็นแก่ตัว ผัวเมียแยกทางกันก็มีบ่อยขึ้น เพราะการติดต่อพูดคุยกันมันง่ายคนก็หลงไปกับสิ่งที่เข้ามาจนไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมันเป็นคือภัยเงียบๆที่เริ่มทวีความรุนแรงขึ้น ก็เห็นได้ว่าเมื่อเวลาผ่านไปสิ่งที่ฉันกลัวมันก็เกิดขึ้นจริงๆ ครอบครัวแต่ละบ้านก็มีปัญหาขัดแย้งมากมายขึ้นมากสุดท้ายเราก็ตกเป็นทาสของความเจริญ แล้วต่อไปอะไรจะเกิดขึ้นอีกก็คงต้องรอดูกันไป โลกเริ่มหมุนช้าลงและจะหยุดลงตลอดกาล สูญสิ้นเผ่าพันธุ์ผู้เพลินกับสิ่งต่างๆ และเริ่มใหม่กำเนิดใหม่พัฒนาการใหม่ ทุกอย่างหมุนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่สิ้นสุด ความอยากของคนก็ไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนกัน เรามองแต่สิ่งที่อยู่ข้างหน้าจนลืมมองตนเอง สิ่งเหล่านี้จะเพิ่มความเห็นแก่ตัว เพราะการเห็นคนอื่นนั้นเราเปลี่ยนมันไป คือไม่ได้ดูคนอื่นด้วยความรักอีกแล้วแต่มองดูกันด้วยความอิจฉา  ท้ายสุดอะไรจะเกิดขึ้น คนที่เหลือก็คงต้องใช้สติ ตระหนักในตัวเอง อะไรที่มากไปเกินพอดี มันก็จะสร้างหายนะได้เอาง่ายๆ




                                                              พื้นที่ส่วนตัว
                                                                        สุธา สุวรรณเวลา