วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เมื่อเราจำต้องผ่านมันไป




                        มื่อเราจำต้องผ่านมันไป


วันหนึ่งวันนั้นเป็นวันที่คนหลายคนมองเห็นความโหดร้ายแล้วจำต้องคิดติดตาติดใจจดจำมันไว้ตลอดมาเป็นเวลาหลายสิบปี  มันคือวันที่16 ตุลาคม 2519 วันที่หลายคนเริ่มได้ยินคำว่าประชาธิปไตย 30 กว่าปีผ่านไปคำๆนี้ก้องดังอยู่ในหูของหลายคนตลอดมา แต่หลายคนไม่เคยเอะใจ เลยว่ามันเคยวางอยู่บนกองศพกองเลือดของประชาชน ทุกคนยอมสละชีวิตเพื่อแลกกับมัน แลกกับความหมายอันจอมปลอมของมัน และมันก็ยังคอยแว้งกัดยุยงประชาชนให้คอยแตกแยกกันตลอด มันก็ไม่แปลกหรอกที่ใครๆก็ต้องการมันโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนผู้ยากจนข้นแค้นเพียงหวังเพื่อสิทธิในการกู่ร้องบ่งบอกให้ผู้บริหารได้รับรู้ถึงความยากลำบากหวังเพียงเพื่อเลือกคนมาคอยช่วยเหลือเอื้อเฟื้อตนบรรเทาความเจ็บป่วยจากความจน แต่สุดท้าย
ชาวนาประชาชนก็ยังไม่ดีขึ้นซักที แต่กลับกลายเป็นว่าความจนยากของประชาชนจะเป็นช่องทางและผลประโยชน์ของนักการเมืองอย่างยิ่ง เพราะมันเป็นทางหนึ่งที่สามารถ
สร้างเงื่อนไข ได้จากสิทธิทางการเมืองของประชาชนที่เรียกว่าประชาธิปไตยบัดนี้กลับกลายเป็นช่องว่าง ระหว่างประชาชนและนักการเมืองและเมื่อมีช่องว่าก็จำเป็นต้องอุดรูรั่วของมันซะ การอุดรูรั่วเหล่านี้นักการเมืองก็อุดมันด้วยความเห็นแก่ตัวนั่นก็คือเงิน เพาะอำนาจเงินมันอยู่สูงมากจนใครก็สอยมันให้ล้มลงไม่ได้ ถึงตอนนี้คำว่าประชาธิปไตย ที่ประชาชนเคารพนับถือกลับกลายเป็นสัตว์ร้ายมาคอยกัดกินประชาชนไปเสียแล้ว ก็ใช่ว่าเราจะแก้อะไรไม่ได้แต่เราไม่แก้มันมากกว่า เราแค่ไม่เห็นแก่เงินเท่านั้นทุกอย่างก็จบ แต่ที่สุดเราก็ไม่ทำทุกคนหวังแค่เงินยอมโดนจ้างโดนซื้อชีวิตมา เพื่อทำลายบ้านตัวเองพังรั้วบ้านตัวเอง อย่างนี้จะเรียกว่าประชาธิปไตยอยู่ได้อีกไหม เงิน คงจะเป็นระบบการปกครองใหม่ในปี 2555 แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้จบแค่นี้  เมื่อเงินในกระทรวงการคลังโดนผลาญไปจนหมด (เพราะเขาแจกเราแล้วเขาก็จำเป็นต้องเอาคืนบ้าง) เมื่อเขาผลาญเงินภาษีที่เก็บจากประชาชนจนหมด ก็ถึงคราวต้องกู้จากต่างประเทศ  การกู้เงินก็คือการสร้างหนี้นั่นเอง แล้วหนี้เหล่านี้ก็ตกอยู่กับประชานชนนั่นแหละเพราะเมื่อมีหนี้สินก็จำเป็นต้องมีดอกเบี้ย แล้วดอกเบี้ยก็เยอะ ต้นก็เยอะแล้วจะหาเงินจากใหน
จ่ายต่างประเทศเค้า ก็จากประชาชนอีกนั่นแหละ ถึงตอนนี้ภาษีก็ต้องแพงขึ้น
(ภาษีก็คือราคาของสินค้าแล้วหักออกไปส่วนหนึ่ง)ฉะนั้นของทุกอย่างก็จ่ายภาษีและมีภาษีเป็นของตัวเอง และเมื่อภาษีมันเพิ่มขึ้นราคาของทุกอย่างก็จำเป็นต้องเพิ่มขึ้นเช่นกัน ตัวอย่างสมมติ
ใข่ไก่ 2บาท บวกภาษี1 เราไปซื้อก็ต้องจ่าย3 บาทเป็นต้น อันนี้แค่สมมติ ให้เห็นภาพ แล้วเมื่อภาษีเพิ่มราคาของเพิ่มขึ้น ชีวิตประจำวันก็มีความจำเป็นมากมาย ดังนั้นความเดือดร้อนก็ตามติดมาเหมือนกัน ดังนั้นเราพึ่งจำใส่ใจไว้ว่าไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ เค้าจ่ายเรามา300 500 เค้าก็ไม่เอาของเราคืนจากคลังภาษีเท่านั้นยังไม่พอเอาจากคลังภาษีหมด ยังไปกู้ จากต่างประเทศมาเพื่อสร้างหนี้ให้เราอีก ที่จริงแล้วนั้นที่เราเสียภาษีไปก็เพื่อการปรับปรุง ซ่อมแซมประเทศที่เสียหายและเป็นเงินเดือนกับทหารตำรวจครูผู้ที่ทำงานรับใช้เรา ประชาชนทุกคน ฉะนั้นการเลือกตั้งไม่ว่าจะระดับใดๆ ก็ตาม ถ้ามีเงินมาเกี่ยวข้อง แม้แต่ บาทเดียวก็ไม่ถือว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ควรเรียกว่า เป็นการว่าจ้าง มากกว่า แล้วไม่ว่าจะเป็นการเลือก ระดับ ตำบล จังหวัด หรือ ระดับประเทศ  ถ้าคนที่ได้รับเลือกเป็นคนที่เคยจ่ายเงินให้เรา เค้าคนนั้นก็หวังเพื่อใช้ตำแหน่งหน้าที่ในการกอบโกยเงินจากเราด้วยเช่นกัน หลายคนคงสงสัยว่าสิ่ก่อสร้างที่เป็นส่วนรวมมากมายที่ สร้างได้ไม่นานมันก็หมดสภาพการใช้งานเช่นถนน เป็นต้นทำไมเพิ่งสร้างยังไม่ทันเสร็จ ที่เสร็จมาก่อนจึงพังแล้ว ก็เพราะมันไม่ได้มาตรฐาน สมมุติ งบมาหนึ่งล้าน
ที่ผู้รับเหมาจริงเพียงห้าแสน แล้วผลงานที่ออกมาก็จำต้องตามราคาการรับเหมาว่าจ้าง มันก็ไม่แปลก ว่าทั้งหมดนี้ที่กล่าวมามันมาจากคำว่าประชาธิปไตย ที่คนเพียงแค่ได้ยิน แต่ไม่รู้ความหมาย หรือรู้แล้วแต่เอาเงินมาปิดกั้นไว้ เราไม่ควรลืมว่ากว่าเราจะได้มันมานั้นเราแลกมาด้วยอะไรบ้าง 30กว่าปีภาพนั้นมายังไม่เลือนหายไป จงตระหนักในความหมายของมันหน่อยอย่าให้หลายชีวิตจำต้อง สูญเปล่าเพราะความเห็นแก่ตัวของเราในยุค ปัจจุบัน หวังว่าเราคงจะผ่านเรื่อง เลวร้าย นี้ไปด้วย กันคนหนุ่มสาวยุคใหม่ ก็ควรหยุดคิด ไม่ปล่อยตัว ปล่อยใจ เสพกามา คลั่งยาเสพติด เป็นของเล่น ชีวิตคนมันไม่มากมายแต่ยาวนาน หนึ่งรุ่นควรสานต่อเจตนาที่ผ่านมา และบอกเล่าอีกรุ่นหนึ่งให้สืบไป เพราะเรามีปัญญา และความคิด จึงไม่ควรเอาสิ่งอื่นมาปิดบังไว้ ขอจงอยู่อย่างสงบสุข ตลอดไป ทุกๆคน
                                      
                                                  ด้วยความเคารพอย่างสูง
                                                     นาย สุธา สุวรรณเวลา

วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2555

บทสรุปของชีวิต

 ไม่ว่าจะมีซักกี่เหตุผล กับชีวิตคุณ
ในหลายครั้งที่เราต้อง จำเป็นหรือจำใจ   ที่จะทำอะไรต่ออะไรให้มันผ่านพ้นไปแต่ในหลายอย่างเหล่านั้นมันกลับหวนมาทำร้ายเราได้ในภายหลัง ชีวิตที่มีหลายส่วนมารวมกัน จนกลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งบนโลกใบนี้  แต่ในความทะเยอทะยานของคนนั้นกลับสร้างความหลากหลายขึ้นไม่ว่าจะเป็นความ
รัก โลภ โกรธ หลง  ทุกอย่างนั้นล้วนโดนมนุษย์สร้างขึ้้นมาทั้งสิ้นจนอยู่ ๆเราก็กลับไม่มีความสุขจากสิ่งเหล่านั้นตลอดมาจนถึงปัจจุบัน  ด้วยเหตุทั้งหลายเหล่านี้เราสามารถรู้ได้ว่า การนิ่งเพื่อคิดก่อนที่จะลงมือทำอะไรต่ออะไรนั้น มันดีมากมาย เมื่อเราคิดจนลุล่วงแล้วเราก็จะได้ได้ลงมือทำทุกอย่างตามขั้นตอนแต่ไม่ใช่มัวแต่คิดโดยไม่ลงมือทำหรือคิดปิดทางตัวเองจนตันโดยหาทางออกไม่เจอ คิดจนเกิดความกลัวจนไม่กล้าที่จะลงมือทำ หากเรามีความหวังแล้วก็จงเดินไป  เเม้เราไม่อาจจะรู้ได้ว่าระยะทางมันแฝงด้วยอะไร แต่หากใจเราแน่วแน่ทุกอย่างเราจะผ่านมันไปได้ด้วยดี

                                                                            

                                                                           
ขอเป็นกำลังใจแก่ทุกความฝัน
                                                                                   
สุธา สุวรรณเวลา

วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2555

กำลังใจ: คนเรานี้

กำลังใจ: คนเรานี้

ในเรื่องบางเรื่องที่คุณอาจจะไม่เข้าใจ


ในเรื่องบางเรื่องที่คุณอาจจะไม่เข้าใจ
               หลายครั้งที่คนหลายคนคิดถึงหรือนึกไปถึงเรื่องราวเก่าๆความรู้สึกของแต่ละคนย่อมโหยหวนถึงเรื่องราวเหล่านั้นแตกต่างกันไป บางทีในหลายๆอย่างที่เราคิดว่าสิ่งที่เราอยากจะหยุดมันเอาไว้ตรงนั้นมันผ่านไปจนไม่อาจจะหวนกลับไปเป็นดังเดิมได้อีก ความรู้สึกที่แสนจะหดหู่และทรมาน เหล่านี้มันอาจจะอยู่กับหลายคนมานานจนนับค่าเป็นเวลาไม่ได้ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือการมีชีวิตและยอมรับเรื่องราวต่างๆ  การที่เราได้มีความหลังอยู่นั้นมันไม่ใช้ปมแห่งชีวิต แต่ความหลังเหล่านั้นมากกว่าที่มันจะมีผลกับชีวิตเรามากมายสักแค่ไหน  หลายคนต้องเสียน้ำตา มาจนเกินจะคณา แต่หลายคนเหล่านั้นก็ยังจำเป็นต้องอยู่   ในเช้าวันใหม่ เราไม่อาจรู้ได้ว่าสิ่งใดที่คอยต้อนรับชีวิตของเรา อาจจะเป็นแสงสีทองยามรุ่งอรุณ สายลมบางๆ การรอคอยที่สิ้นสุดลง หรืออาจจะเป็นท้องฟ้าสลัว สายฝนกระหน่ำ การพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักสิ่งเหล่านั้นเป็นวงเวียน ของการใช้ชีวิตของทุกชีวิตบนโลกใบนี้ การผูกมัดตัวตนไว้กับคำสัญญาก็ใช่จะจีรังเพราะเรามิอาจรู้ได้ว่าวันหนึ่งเราจะใช้ชีวิตอย่างไร ทางที่เราก้าวเดินก็มิได้โปรยด้วยกลีบดอกไม้ตลอดทางแต่อาจจะมีขวากหนาม หรือสัตว์ร้ายมาขวางกั้น จนชีวิตเราจะต้องหยุดลง หรือล่าช้าออกไปฉนั้นแต่ละก้าวของเราจำจะต้องเต็มไปด้วยความหมายและความคิด เพื่อจะก้าวสู่จุดหมายอย่างสำเร็จ

                                                                          กำลังใจ     จาก   สุธา สุวรรณเวลา

วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

หยุดที่จะเห็นแก่ตัว


หลังจากที่คนไทยได้ร่วมเดินทางร่วมกันมาบนสายทางแห่งความเป็นไทยอันมีในหลวงเป็นผู้นำแล้วเราทั้งหลายก็เป็นผู้ตามด้วยดีมาตลอด จนมาถึงตอนนี้ในหลวงทรงพระประชวร คนไทยก็เรื่องแตกแถวไม่เป็นระเบียบ มีการแบ่งฝ่ายกันแบ่งความคิดกัน แต่ถึงกระนั้นทุกคนก็ยังเรียกตนเองว่าคนไทย  ดูแล้วมันช่างน่าอัปอายฟ้าดินจริงๆ
หากเราอยากเรียกตนเองว่าคนไทยเราก็ต้องรักเเละสามัคคี เคารพในพระเจ้าแผ่นดินของเรา เพราะท่านทรงเหนื่อยเพราะเรามาโดยตลอด อย่าให้ท่านทรงหนักพระทัยเพียงเพราะคนไม่กี่คนอีกเลย เพราะทุกอย่างมันไม่ยั่งยืนวันหนึ่งเราก็จะต้องจากโลกนี้ประเทศนี้และเมืองนี้ แม้ความสุขจะได้จากความร่ำรวยแต่ก็ไม่นาน ไม่ติดตัวถึงยมโลก ตอนนี้เรากำลังโดนภัยโอบล้อมรอบตัวจากธรรมชาติ แต่เราก็ยังมัวแต่แก่งแย่งชิงดี ซึ่งไม่สามารถช่วยอะไรเราในยามที่เกิดภัยนั้นได้เลย ฉนั้นหากเราจะพูดจะบอกว่าเราเป็นคนไทยเราต้องร่วมป้องกันภัยร้ายจากธรรมชาติเสียดีกว่า บัดนี้เราเดินมาจนถึงทางตันแล้ว เราจะเดินต่อยังไงนั้นมันไม่ใช่การตัดสินใจของคนใดคนหนึ่งแต่มันเป็นของทุกคน จะร่วมกันแสดงความคิดเห็น ผมหวังว่าทุกคนคงเข้าใจ ....เพราะเราจะเป็นคนดีได้ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใคร   ไม่ต้องพึ่งพา นายก ส.ส. รัฐมนตรี หรือ แม้แต่ประชาธิปไตย แดง หรือเหลือง กฎหมู่ หรือกฏหมาย ทุกอย่างนั้นไม่จำเป็นต้องมีหากเราเป็นคนดี  สู้รบกันชนะไปก็ไร่ค่าหากประเทศเราเป็นเพียงซากหักพัง จากการสู้รบเหล่านั้น  สู้ร่วมกันคิดร่วมกันร่วมกันแก้ใขเสียดีกว่าแล้วเราจะได้ร่วมก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน จะได้กล่าวคำว่าประเทศไทยได้เต็มปาก

                                                                 จาก  นาย สุธา สุวรรณเวลา