วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ความหวังแห่งชีวิต

                                          ความหลังของคนเรา
     ความคิดและความทรงจำของคนเรามีอยู่ด้วยกันทุกคนไม่ว่าจะในด้านบวกหรือลบ
คนเราก็จะมีเหมือนกันทั้งสิ้นคนรวยและคนจนใช้ก๊าซชนิดเดียวกันเพื่อหายใจและยืนอยู่ในพืนดินเดียวกันแต่ฐานะทางการเงินก็เหมือนจะแบ่งแยกสิ่งเหล่านี้เอาไว้อย่างเป็นสัดส่วนที่ต่างกันมากทั้งที่จริงแล้วมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น เมื่อก่อน ใครที่ทำดีก็ได้รับการยกย่อง
แต่ปัจจุบันความดีนั้นซื้อกันได้ด้วยเงิน อันที่จริงคนที่กระทำความดีจริงๆในยุคปัจจุบันนี้ก็ยังมีไม่น้อย แต่พวกเขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่ปิดทองหลังพระ ยิ่งทำมากก็ยิ่งน้อยคนเห็นเพราะถูก กำบังด้วยอำนาจของเงินทองและถูกกีดกันออกไป คนที่ร่ำรวยก็จะได้มาแทนที่ของคนดี จะว่าเงินในปัจจุบันนั้นเป็นปัจจัยหลักก็ว่าได้  เมื่อก่อนครูเคยสอนเอาไว้ว่า
การที่คนเราจะอยู่รอดนั้นต้องมี สี่ปัจจัยเป็นหลัก คือ 1.อาหาร ใช้เพื่อบรรเทาความหิวโหยและเพื่อให้กำลังงาน 2.เครื่องนุ่งห่ม ใช้เพื่อปกคลุมร่างกายจากสภาพอากาศที่แปรปรวน 3.ที่อยู่อาศัย ใช้เพื่อหลบแดด ฝนและพักผ่อน 4.ยารักษาโรค ใช้เพื่อรักษาร่างกายจากโรคภัยต่างต่าง ที่ร่างกายได้รับและผิดปกติไป  แต่ทั้ง สี่อย่างล้วนหาได้จากเงินทั้งนั้น ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าเงินเป็นสิ่งสำคัญที่มาเป็นที่ หนึ่ง ไม่ว่าจะในด้านใดก็ตาม
แต่หากมองย้อนกลับไปนั้น ยังมีสิ่งหนึ่งที่มีคุณค่ามากกว่าเงินมากยิ่งนัก นั่นก็คือคุณค่าของความเป็นคนนั่นเอง การรู้จักผิด และให้อภัย การเอื้อเฟื่อ คนในสังคม ด้วยกันความรู้สึกสงสารโดยจิตใต้สำนึกของตัวเราเอง เพราะสิ่งเหล่านี้เราเสแสร้งทำมันไม่ได้และอำนาจของเงินก็บังคับมิได้เช่นกัน ภายใต้ร่างกายของคนเราอาจจะมีอำนาจบางอย่างแฝงอยู่คือชั่ว และดี หากให้อำนาจชั่วมาก ร่างกายก็จะชั่ว แต่หากให้ความดีมากร่างกายก็จะดีตาม การกระทำทั้งหมดนั้นล้วนมาจากความคิดทั้งสิ้น คนคิดดีก็มักจะกระทำดี
          อีกอย่างคือความผิดพลาดในวันที่ผ่านมา
ผมก็เชื่อว่าไม่มีใครหรอกที่ไม่เคยผิดพลาดไม่ว่าจะผิดน้อย หรือมาก ทุกคนก็คงจะเคยผิดมาด้วยกันทั้งนั้น บางคนความผิดครั้งนั้นอาจจะคอยติดตามตัวอยู่อยากจะสลัดมันออกไปก็ทำไม่ได้เพราะมันมากมายเหลือเกิน แต่หากคิดให้ดี สิ่งนั้นอาจจะดีสำหรับวันนี้ก็ได้เพราะนั่นเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับเราและไม่มีใครจะมาแย่งเราไปได้ คนที่ไม่เคยพลาดไม่มีวันเห็นความสำเร็จจงเชื่อไว้ในจุดนี้ และจงยอมรับในสิ่งที่เราเป็นอยู่และจงเชื่อว่า ผิดครั้งเดียวไม่สามารถตัดสินได้หรอก ถึงความดี ความชั่ว หากเรานำความผิดนั้นมาแก้ไขและเรียนรู้
ในวินาทีที่เราอยากจะลาโลกไปเพราะความผิดหากเราไตร่ตรองในความผิดแล้วแก้ใขมันนั่นซิที่ดีกว่า จงหวนมองคนที่ทุกข์ใจกว่าเรา เพราะเราไม่ได้ยืนอยู่เดียวดายบนโลกใบนี้ยามที่เราท้อแท้หรือสิ้นหวัง ยังคงมีอีก หมื่น แสน หรือ ล้าน ที่รู้สึกอย่างเราหรือมากกว่า เสียด้วยซ้ำ ฉะนั้นการที่เราได้ยืนอยู่บนจุดหนึ่งของสิ่งมีชิวิตที่เรียกว่าคน นั้นมันมักจะมีบททดสอบทางความคิดอยู่เสมอไม่ว่าจะจากคนด้วยกัน หรือจากธรรมชาติ
จงคิดว่าสิ่งไม่ใช่การตอกย้ำแต่จะเป็นการทดสอบชีวิตเรามากกว่า

วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

    บางทีการที่เราต้องการจะเดินไปข้างหน้ามันก็๋อาจจะยากมากในความรู้สึกที่มาพร้อมกับความหวังลึกๆภายใน เราอาจจะกลัวที่จะพลาดกลัวที่จะเหนื่อย แต่ที่สุดของความกลัวนั้นมันไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องยอมแพ้หรือจะต้องหยุด แต่มันจะเป็นบททดสอบที่ดีของเรา และหากเรากล้าพอที่จะฝ่ามันไป สิ่งที่เราได้รับมันไม่เพียงแต่ว่าเราจะทำความหวังได้สำเร็จเพียงแค่อย่างเดียวแต่ มันจะมีทั้งความภูมิใจและความเข้มแข็งที่เกิดขึ้น จนทำให้เรารู้สึกกล้าที่จะทำ ในสิ่งที่เราต้องการจะทำ การที่เราจะทำอะไรขึ้นมา 1 อย่าง
แต่เราบั้นทอนมันลงไปด้วยความรู้สึกที่ว่าเราทำมันไม่ได้นั้นมันก็เปรียบได้กับบททดสอบดีๆของเรานั่นเอง
เพราะที่จริงแล้วเราทำสิ่งนั้นให้ดีได้แต่เราไม่กล้าที่จะทำมันเสียมากกว่า
           คนเรานั้นในความเป็นจริงแล้วในหนึ่งร่างกายเรามันมักจะมีสองความคิดสวนทางกันเสมอ
 มีด้านดี ก็มีด้านไม่ดี มีความกล้าก็มีความกลัว เข้ามาขัดแย้งแต่ที่แน่ๆ ผมคิดว่า ไม่มีด้านใหนอยู่เหนือ
ความตั้งใจได้ เพราะความตั้งใจจะสร้างความเชื่อมั้นความเชื่อมั้นจะขจัดความกลัวและเราก็จะทำทุกอย่างได้ด้วยตัวของเราเองได้แน่นอน