วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2560

คนเราไม่ต่างกัน

เวลาที่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ก็มักจะหยิบสมุดปากกาขึ้นมาเขียน และเก็บเอาไว้ บางทีก็หยิบเรื่องราวเหล่านั้นมาอ่านภายหลัง เพื่อย้ำเตือนตัวเองเสมอๆ แต่บางทีเราก็ต้องการทางออกที่หามันไม่เจอ บางทีเราต้องการคนที่รับฟังช่วยคิดช่วยแก้ ปัญหา แต่ในเมื่อสิ่งที่เราต้องการมันไม่มี ไม่สามารถที่จะเป็นจริงได้บางเรื่องก็ต้องยอมรับความเป็นจริง ไม่มีอะไรที่เราพบมันตามที่ใจเราต้องการหรอก ความผิดหวังมันเกินขึ้นบ่อยครั้งมาก ทั้งๆที่เราไม่ดิ้นรนค้นหา ปัญหาก็ยังวิ่งเข้าใส่ จนบางทีก็คิดเล่นๆคนเดียวว่าการเกิดขึ้นของสิ่งมีชีวิตบนโลกมันคือความผิดพลาดของธรรมชาติ เราไม่น่าเกิดขึ้นมาเลย มันอาจดูสวนทางกับความคิดของคนที่เค้ามีพร้อม แต่ที่สุดความทุกข์ก็เกิดขึ้นทุกหมู่ทุกคนอย่างเลี่ยงไม่ได้ไม่ทางกายก็ทางใจ ทุกคนคงไม่มีใครหรอกที่อยากจะทนทุกข์ แต่ในเมื่อความทุกข์มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นกิจกรรมของสัตว์โลก เป็นกฏของธรรมชาติ เราก็หนีมันไม่ได้ บางทีก็คิดถึงการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัตร ว่ามันมีอยู่จริงๆไหม่ เเละเราจะหนีมันไปได้อย่างไร นึกถึงการตายเเบบสนิท การไม่เวียนว่ายตายเกิดดั่งคำสอนของพระพุทธเจ้า นึกถึงกฏแห่งกรรม จนรู้สึกว่าทุกอย่างมันไม่มีอะไรเลย ชีวิตมันน่าเบื่อมันไร้สาระ ถ้าเราไม่ผูกบ่วงขึ้นมาตั้งแต่ต้นเราก็คงไม่ต้องทุกข์ คิดจะบวช เพื่อหนีความวุ่นวาย ก็ยังมีภาระ อยู่  ไม่รู้จะเดินทางใหนดี แค่อยู่กับวันนี้เวลานี้และทำมันเท่าที่เราจะทำได้ ก็เขียนก็ระบายไปเรื่อย มีคนอ่านหรือไม่มีคนอ่านก็แค่นั้น คนที่ด้อยก่าเราและรอความหวังก็ยังมีอีกเยอะแยะ เราก็ไม่ได้ดีหรือมีค่าอะไรมากมาย จะเอาอะไรนักหนา

วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2560

แค่นั้น

ในแต่ละวัน ชีวิตล้วนเต็มไปด้วยคำถาม มากมายเหลือเกิน จนบางทีก็รู้สึกว่ายากนะที่ต้องใช้ชีวิตให้ถูกต้องที่สุด เท่าที่เราจะทำได้ แต่เมื่อหาคำตอบมันก็คือความว่างเปล่า ที่เราเองที่ดิ้นรนเอาอะไรมาเติมเต็มจนต้องเกิดปัญหาตามมามากมาย
ทั้งที่ชีวิตก็ไม่ต่างจากภาชนะ ที่รองรับเรื่องราวต่างๆไว้มากมาย ตั้งแต่เด็ก ไม่รู้อะไร และเรียนรู้เก็บเกี่ยว ประสบการณ์
เอาไว้จนเติบโต เล่าเรียน แก่ และตายลงไป ทุกคนล้วนเต็มไปด้วยร่องรอย ที่เติมเต็มลงไป ทั้งความเจ็บปวด ดีใจ เสียใจ
หรือสิ้นหวัง ทุกอย่างล้วนถาโถม เข้ามาอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย ที่เราต้องเตรียมตัวหรือบอกต่อใครใครก็คือ
การมีชีวิต ไม่ใช่เเค่เราต้องทำใจเพื่อยอมรับบางอย่าง แต่เราต้องยอมรับทุกอย่างให้ได้ เพราะทุกอย่างที่เรากลัว ซักวันมันต้องเกิดขึ้นกับเราอย่างที่เราไม่สามารถหลีกหนีได้เลย ไม่มีใครหนีโชคชะตาหรือแม้แต่ความกลัวได้เลย มันเกิดขึ้นกับผมและกับคนที่ผมรู้จักและใกล้ชิด
และจะเป็นอย่างนี้ไปจนกว่าภาชนะที่เป็น
ตัวเราจะแตกสลายไปกลับสู่สภาวะ
ความว่างเปล่า ดังเดิม แค่นี้เอง

        สุธา สุวรรณเวลา

วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2560

เวลาที่เหมือนกัน

ทุกคนพยายาม ยืนหยัดและต่อสู้เพื่ออะไร ? หลายคนไม่เคยถามตัวเองด้วยคำถามนี้ หรือจะมีอีกหลายคนที่ตั้งคำถามกับตัวเองไม่สิ้นสุด เหล่านี้เป็นความรู้สึกที่เรามีคล้ายๆกัน บางทีที่เรารู้สึกว่าถูกโอบกอดด้วยความสุขจากคนรอบข้าง แต่ในขณะที่ในใจลึกๆเรารู้สึกว่าโดดเดี่ยว ไม่มีใคร หรือเรียกว่าความเหงา ท่ามกลางหมู่คน ทุกอย่างนี้ไม่มีใครที่จะหนีจนให้หลุดพ้นจากความรู้สึกได้ เพราะเราทุกคน ถูกรวมเข้าด้วยกันตามธรรมชาติ จนเกิดสายใยเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และตรงกันข้ามขณะที่ความรักและการยอมรับเกิดขึ้น ความเกลียดชังก็เกิดขึ้นมาควบคู่กัน มันเป็นสิ่งที่น่ากลัว มันคือสายใยเช่นกัน สายใยแห่งความเกลียดชัง มันจะสร้างความเจ็บปวดเป็นอันมาก สายใยเหล่านี้เกิดขึ้นและขาดลงไปทุกช่วงของเวลา แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ในช่วงลมหายใจของแต่ละคน ก็ต้องพบเจอผูกพันธ์กับเรื่องราวหลายๆอย่าง แต่จะมีกี่คนที่มองเข้าไปถึงความจริงเหล่านี้
ส่วนตัวผมเองคิดว่า ร่างกายคนเราเกิดขึ้นจากสองสถานะ คือรูปร่างและพลังงาน ส่วนของรูปร่างจะให้เราได้สัมผัสมองเห็นซึ่งกัน ส่วนของพลังงานหรือจิตวิญญาณ ทำให้เรารู้เข้าใจสิ่งที่อยู่รอบๆกาย และความรู้สึกต่างๆเหล่านี้ก็เกิดขึ้นด้วยส่วนของพลังงานหรือจิตวิญญาณของเรานั้นเอง ซึ่งพลังงานเหล่านี้ก็จะดำรงอยู่ได้ในร่างกายที่สมดุล และหากร่างกายเราผิดพลาดหรือเสียสมดุลพลังงานเหล่านี้ก็จะแตกดับไป และร่างกายที่สูญเสียพลังงานเหล่านี้ไปแล้วก็จะเน่าเปื่อยผุพังไป ส่วนจิตเหล่านี้ก็ไม่ได้สลายไปใหนก็เพราะพลังงานไม่มีรูปแบบ มันก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามสถานะภายนอกที่โอบล้อมมันอยู่ จะเห็นได้ว่าเราจะตายแต่ไม่ตายนั่นเอง มันอาจดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อและน่าปวดหัว แต่ทุกๆอย่างมันก็เกิดขึ้นทุกๆช่วงของเวลา และจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เราไม่ได้ถูกสร้างให้มาแสวงหาความสุขหรือทุกข์หรอก แต่เราถูกสร้างมาเพื่อเรียนรู้และทำความเข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องเกลียดหรือจะรักใครด้วยซ้ำแต่สิ่งที่เราทุกคนจำเป็นที่สุดคือการรู้จักปฏิบัติต่อธรรมชาติรอบๆตัวเรา เพราะเค้าเหล่านั้นมีที่มาเหมือนกับเรา และทำให้เราไม่รู้สึกโดดเดี่ยวบนธรรมชาติ ที่เราได้มีตัวตนขึ้น เพราะทุกๆอย่างเกิดขึ้นจริงเรายืนอยู่บนความจริง และมีความรู้สึกเท่าเทียมกัน กว่าร่างกายจะสลายไปเราก็ควรจะเรียนรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นให้มากที่สุด เพราะเวลามันไม่เคยรอ เราจึงไม่ควรปล่อยตัวไปโดยไม่เรียนรู้อะไรเลย เพราะค่าของเรามันอยู่ที่จิตวิญญาณ ไม่ใช่รูปร่างภายนอกที่เราเป็น ชี-วิต ก็แค่นี้เอง

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2560

ที่นี่ ณ. ตอนนี้

ที่นี่เป็นที่ระบาย ที่นี่คือที่ที่ให้ความรู้สึกทางใจ ได้ปลดปล่อย ความอึดอัดบางอย่างออกไป ทุกคนต้องเคยเป็น และอาจจะยังคงเป็นอยู่ในขณะนี้ก็ได้ เพราะสภาวะความเป็นมนุษย์ ของทุกคนก็เหมือนๆกัน ที่ต้องจมอยู่กับความรู้สึกต่างๆนาๆมีสุข ทุกข์ สมหวังและผิดหวังกันไม่สิ้นสุด จนกว่าจะลาลับโลกไป และการที่เราได้ใฝ่หาแสวงหาเรื่องราวต่างๆมากขึ้น เราก็ยิ่งจมลึกลงไปในความรู้สึกมากขึ้น
และไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เราก็ไม่มีโอกาสจะหลีกเลี่ยงทุกอย่างได้ การที่เราสละทุกอย่างแล้ววางตัวอยู่ตรงกลาง นั่นเป็นวิธีเดียวที่เราสามารถลดทอน ความเจ็บปวดออกไป ไม่รัก และไม่เกลียด ไม่ต้องการอะไรจนมากเกินไป หรือแม้แต่เราจะพยายามไม่เพ้อฝันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ขอแค่เราอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด รู้สึกกับลมหายใจ ที่มีอยู่ให้มากที่สุด แค่นั้นเอง เราก็จะลดความทุกข์ต่างๆในใจออกไป เพราะถึงเราจะใฝ่คว้าอะไรมากมายแค่ใหน ที่สุดเราก็เหลือแค่ความว่างเปล่า และจากไปอย่างไม่มีอะไรเลยแม้แต่น้อย เหมือนตอนแรกที่เราเกิดมา มากับความว่างเปล่า แล้วทำไมเราถึงจำเป็นต้องอยากได้ อะไรต่ออะไรไม่สิ้นสุด จนลืมไปว่าเรากำลังหายใจอยู่บนความเป็นจริงไม่ใช่ความอยากเหล่านั้น ซักหน่อย เชื่อเถอะว่าเราแค่หลงลืมไป ยึดติดกับอะไรเหล่านั้นแค่ครู่เดียวเท่านั้นเพราะสุดท้ายถึงแม้เราจะได้อะไรต่ออะไรมา วันหนึ่งมันก็จากเราไป และเป็นเช่นนั้นจริงๆ ความรักความเกลียดชังก็เช่นกัน มันเกิดขึ้นแค่ชั่วขณะ และสิ่งที่เราเห็นอยู่เสมอ การเกิด และการตายเกิดขึ้นใช้เวลาแค่ไม่มากนัก แต่ช่วงเวลาของชีวิตเราต้องจมอยู่กับความเจ็บป่วย ไม่ว่าจะป่วยทางกายหรือทางใจ ตลอดช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่จนกว่าจะลาลับไป ทุกคนคงต้องการความสุขมากกว่าความทุกข์ แต่ถ้าเราเจอกับความสุขไม่ช้าความทุกข์ก็คงต้องเกิด อย่างแน่นอน และความทุกข์ก็กินเวลายาวนานกว่าความสุขเสมอๆ แต่ถ้าเรามองข้ามความสุขไป อะไรจะเกิดก็ให้เป็นไปตามเหตุตามผล ไม่ใฝ่หา บางทีเราก็จะได้มีใจที่เพียงพอจนรู้สึกสงบ ไม่สุขไม่ทุกข์อย่างที่เป็นมา มันก็คงจะทำให้ช่วงเวลาของการใช้ชีวิตง่ายขึ้น ก่อนจะจากโลกไป หลายคนอาจจะคิดที่จะทำแต่ทำไม่ได้ หลายคนเข้าใจก็ก้าวผ่านไปด้วยดี แต่สำหรับคนที่ยังคิดไม่ได้หรือไม่เข้าใจ บทความนี้ก็คงพอจะให้ความเข้าใจได้บางส่วนไม่มากก็น้อย ขอให้ทุกคนโชคดี