วันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2566

พวกเราต่างเข้าใกล้ความสูญเสีย

พวกเราต่างเข้าใกล้ความสูญเสีย
         เมื่อเราเกิดมามีความรู้สึกครบถ้วนมีสัมผัสที่สมบูรณ์ ความเจ็บปวดต่างๆก็จะเกิดขึ้นกับเรา ความรู้สึกต่างเหล่านั้น มันทำร้ายและให้ความทุกข์อยู่ตลอดเวลา ทุกๆครั้งที่แันมองออกไป เบื้องหน้าของฉันมีความแปรเปลี่ยนเต็มไปหมดและทุกๆอย่างที่ฉันเห็นมันก็ต่างเดินเข้าหาความแตกสลายรวมไปถึงตัวฉันเองก็ด้วย มันเป็นแบบนั้น และฉันก็ถามตัวเองอยู่บ่อยๆว่า ตอนเราเข้าใกล้ความตายนั้นเราจะมีความเจ็บปวดขนาดใหน ใจเราจะรู้สึกยังไงขณะที่เรากำลังจะทิ้งทุกอย่างไป สิ่งเหล่านั้นเป็นคำถามที่เกิดขึ้นกับฉันตลอดเวลาและการที่ฉันต้องคิดและรู้สึกกับเรื่องเหล่านี้ มันก็เป็นเรื่องที่แย่มากๆ ฉันเห็นภาพต่างภายใต้จิตสำนึก ว่าเมื่อเราได่ชีวิตเหล่านี้ เราก็มีความเจ็บปวดอยู่เบื้องหน้า มีความตายอยู่เบื้องหน้าและก็คงไม่ต่างกัน ที่ทุกชีวิตก็เป็นแบบนั้น มันแตกต่างกันแค่เพียงรูปแบบของการจากไป เราอาจใช้เวลาแค่เสี้ยววินาทีกับความเจ็บปวดครั้งสุดท้าย หรือหนึ่งวัน หลายๆวัน หรือหลายๆเดือนกับสิ่งนั้น ความเจ็บปวดที่แตกต่างความทุกข์ที่แตกต่าง มันจะทำให้ คนรอบๆตัวก็เดือดร้อนแตกต่างไปเช่นกัน ฉันเห็นความทุกข์ทรมานนั้นและเจ็บปวดแทนพวกเขาฉันรู้สึกได้ถึงความทุกข์ ความสัมพันธ์ เหล่านั้นมอบความทุกข์แก่เราตลอดเวลา คำทุกคำที่ฉันพยายามเขียนมันเป็นตัวแทนของความรู้สึกที่ฉันมี ความคิดทีฉันมี ถึงแม้สิ่งที่ฉันคิดและเขียนมันจะดูเป็นเรื่องที่ไร้สาระในสายตาของผู้คน ถูกมองข้ามและถูกปิดกั้น ไม่ถูกนำเสนอให้ใครเข้าถึง แต่เมื่อสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น ความจริงเหล่านั้นวนเวียนมาถึง ความรู้สึกและความทุกข์เหล่านั้นก็จะเกิดขึ้นกับทุกชีวิตอย่างที่ฉันได้กล่าวมา ฉันเองไม่รู้หรอกว่าต้นกำเนิดของชีวิตมันเริ่มต้นมาจากที่ใด แต่ที่ฉันรู้คือเมื่อใดที่เรามีองค์ประกอบสมบูรณ์ ทางสัมผัส สิ่งที่ตามมาคือความเจ็บปวด ดังนั้นเมื่อเราจะมอบชีวิตให้แก่ใครเราก็ควรเข้าใจจุดนี้ ในมุมมองของฉันการดำรงอยู่ซึ่งเผ่าพันธุ์นั้นเป็นเรื่องที่ดูไร้สาระ พวกคุณพยายามสืบเชื้อสายและแย่งชิงความเป็นเจ้าของในสิ่งต่างๆ มีความอยากได้ที่ไม่สิ้นสุด ใช่และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆทุกชีวิตย่อรักสุขเกลียดทุกข์เป็นธรรมดาแต่สิ่งที่คุณสานต่อกันมามันเป็นทุกข์ที่พวกคุณมองข้าม ความตาย และความเจ็บปวดแฝงติดตามมาด้วย ไม่ว่าพวกคุณจะมีความเชื่อแบบใหนแต่ถ้าคุณมีสัมผัส พวกคุณก็หนีไม่พ้นสิ่งที่เรียกว่าความเจ็บปวดและความทุกข์ และไม่ว่าคุณจะอยู่ในรูปแบบชีวิตใด จะเป็นรูปแบบชีวิตที่เล็กมากๆหรือใหญ่โตมากๆ หรือจะความเป็นมนุษย์ก็ตาม สัมผัสที่ติดตัวคุณมาก็จะมอบความทุกข์การสูญเสียให้แก่คุณเช่นกัน เราเกิดอยู่ภายใต้กฏของเวลา และเราก็ปฎิเสธไม่ได้เลย ว่าเวลาจะพัดพาทุกอย่างจากเราไป และมันจะเป็นอย่างนั้นเสมอ การแสวงหาของพวกคุณจึงหาที่สุดไม่ได้ พวกคุณมองหาความแต่ความสุขแต่ความสุขก็ไม่เคยถูกเติมเต็มเลยด้วยซ้ำและมันก็อยู่กับคุณได้ไม่นาน มันจะเเปรเปลี่ยนและจากพวกคุณไปเสมอ ใช่เพราะเวลาจะพัดพามันไป ความสวยงามที่แปรเปลี่ยน สิ่งของที่ทรุดโทรมจะทำให้คุณเบื่อหน่ายและจางคลายไปในที่สุด เราไม่สามรถโอบกอดสิ่งใดด้วยความรู้สึกเหมือนโอบกอดแรกได้ และบางทีเราอาจจะจดจำความรู้สึกเหล่านั้นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เหล่านั้นจึงให้คำตอบกับสิ่งต่างๆรอบตัวเราได้ว่าทำไม เราต้องเจ็บปวดกับสิ่งต่างรอบตัวเราอยู่ตลอดเวลา เพราะทุกอย่างที่มีจุดเริ่มต้นย่อมเดินทางเข้าหาจุดจบ นั่นเอง และถ้าคุณมองหาคำว่านิรันดร์จะจุดเริ่มต้นเหล่านั้น ก็ไม่มีทางหรอกที่พวกคุณจะหามันเจอ เพราะทุกอย่างที่อยู่ภายใต้กฎของเวลาย่อมเดินไปสู่ความเปลี่ยนแปลงจางคลายและดับไปทั้งสิ้น ส่วนคำว่านิรันดร์นั้นก็มีอยู่ แต่อยู่บนจุดสูงสุดอยู่เหนือกฎของเวลา อยู่อยู่เหนือองค์ประกอบทั้งปวง ความนิรันดร์ไม่มีส่วนประกอบของรูปธรรม นามธรรม หรือสัมผัสต่าง ดังนั้นความรู้สึกก็มีอยู่ในสภาวะนิรันดร์ไม่ได้ ตรรกะง่ายๆ เมื่อเราเข้าใจองค์ประกอบของชีวิต ที่ว่า จุดเริ่มต้นทั้งหลายจะถูกเวลาพัดพาไปสู่จุดต้นทั้งสิ้น ดังนั้นจุดเริ่มต้นก็จะไม่มีในคำว่านิรันดร์เข่นกัน ทุกอย่างเป็นแค่สิ่งที่ถูกเราสมมุติขึ้นเพื่อการสื่อสาร แต่ความจริงที่ว่านิรันดร์ก็มีอยู่เช่นกัน มันเพืยงแค่อยู่ในรูปแบบของสภาวะ ที่ว่า ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจดสิ้นสุด และเราก็เข้าถึงสภาวะเหล่านั้นได้เมื่อเราไม่มีความอยากที่จะมีหลังจากการรู้สึกครั้งสุดท้ายของชีวิตว่า ชีวิตนี้มันจบแล้วและฉันก็ไม่เหลือความพอใจที่จะได้มันอีกแล้ว ด้วยความเข้าใจที่ว่าการได้ทุกอย่างมามันคือความทุกข์และความเจ็บปวดและทุกจุดเริ่มต้นย่อมมีปลายทางคือจุดจบเสมอ บทความที่ฉันนำมาแบ่งปันเหล่านี้ใครอ่านและเข้าใจมันแสดงว่าพวกคุณมีปัญญาเข้าถึงที่ฉันจะสื่อ  ทุกคนมีความเชื่อที่ปักลงลึกว่า เราจะถึงเป้าหมายด้วยการมุ่งไปข้างหน้าแต่นิรันดร์คือสภาวะที่เข้าถึงได้ด้วยการหยุดและนิ่งสนิท ทุกอย่างเป็นเหตุและผลมันอาจจะยากต่อการเข้าใจ แต่ในกฎและความจริงของธรรมชาติมันเป็นแบบนั้นจริงๆและเกิดขึ้นกับทุกชีวิตบนโลกใบนี้ 

วันพุธที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2566

ทายาทแห่งความโง่เขลา

โลกใบนี้ความพอใจที่เป็นอนันต์มันไม่มีอยู่หรอก พวกเอ็งแค่รู้สึกกับสิ่งข้างเคียงในแค่ระยะเวลาสั้นๆ และถ้าจะกล่าวว่าการอาศัยอยู่บนก้อนหินโง่ๆไปที่ลอยไปแบบไม่มีเป้าหมายผสมพันธุ์และกัดกินทรัพยากรคืออารยธรรม นั้นคงเป็นความคิดที่ทุเรศสิ้นดี พวกเราแค่ถูกเวลาจับมัดรวมกัน สร้างความพึงพอใจและถูกหลอกลวงจากความโง่เขลาของตัวเอง และการแกะสลักก้อนหินให้เป็นทรงกลมก็ได้ไม่ได้เรียกว่าวิวัฒนาการด้วย มันเป็นแค่การเอาตัวรอดและหาทางออกที่สะดวกสบายแค่นั้นเอง เมื่อเราเดินผ่านจุดหนึ่งระยะเวลาระดับไมโครจากสร้างตัวตนของเราที่นับไม่ถ้วนขึ้นมา เรามีตัวเลือกต่างๆที่นับไม่ถ้วน เราอาจหยุดหรือหันไปซ้ายและขวาหรือนั้งลง ความจริงของเวลาเหล่านั้นจะจำกัดการมองเห็นของเรา เรามองเห็นสิ่งต่างๆแค่สัมผัสทางตางแค่นั้น แต่ถ้าเราใคร่ครวญให้ดี เราจะเห็นความจริงที่ต่างออกไปด้วยสติ และปัญญา และเรื่องของปัจจุบันพวกคุณจะเห็นได้ว่าเป็นระยะเวลาที่สั้นมากๆหรือแทบจะไม่มีอยู่จริงๆเลยก็ได้ สิ่งเหล่านี้ต่างบอกถึงการมีอยู่ที่ไร้ประโยชน์และแก่นสารเชิงตรรกะ  เราแค่ถูกจำลองจากความคิดและปัจจัยต่างๆรอบข้าง สิ่งเหล่านี้มันยากเกินจะเข้าใจ คุณต้องหาให้เจอว่าหน่วยของเวลาที่เล็กที่สุดคืออะไร ระดับไมโคร นาโน พิโก ซึ่งเรื่องเหล่านี้มันยากจะอธิบาย แต่จะเป็นปัจเจกบุคคลที่จะเข้าถึง ในความเร็วระดับนั้นสิ่งที่ดำรงอยู่ในรูปแบบของนามธรรม คือความคิดและสติปัญญา นั้นเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่า เป้าหมายของชีวิตเป็นแค่เรื่องหลอกลวง พวกเราแค่สร้างบทบาทและแค่อยากมีตัวตนอยู่แค่นั้นเอง ความกลัว ความเห็นแก่ตัวและการอิจฉาริษยา คือต้นกำเหนิดของวัฏจักร ตราบใดที่เราไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้เราก็เป็นได้แค่ตัวละครผู้โง่เขลา เกิดและตายอย่างไม่มีที่สุด และการสานต่อเผ่าพันธุ์ที่ไม่มีความเข้าใจก็จะขยายอานาเขตของความไม่เข้าใจเหล่านี้ให้กว้างออกไป เพราะลูกหลานเหล่านั้นก็จะเกิดและตายไม่รู้จุดจบของตนเช่นกัน 

วันอังคารที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2566

ฉันเป็นใครมาจากใหน


           เมื่อฉันเดินทางผ่านช่วงชีวิตมาระยะหนึ่ง
ฉันก็เริ่มพบว่าความจริงของชีวิตมันติดอยู่ในวงกลมขนาดใหญ่ที่เรามองมันไม่เห็นจริงๆ ฉันพยายามตามหาความหมายมันมาอย่างช้านาน มีคำถามมากมายที่เกิดขึ้น บางคำถามฉันก็ได้รับคำตอบ แต่ก็ยังมีอีกหลายคำตอบที่ฉังเองก็ยังไม่แน่ใจในความถูกต้อง ฉันถามตัวเองเสมอถึงความต้องการที่เกิดขึ้นกับชีวิตของฉัน แต่คำตอบที่ได้ล้วนไม่สัมพันธ์กัน ฉันแค่มีความต้องการบางอย่างในระยะเวลาที่ถูกกำหนดเมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างที่ฉันให้ความสำคัญจะเริ่มด้อยค่าและหายไป จนมีความต้องการใหม่เกิดขึ้นมาอย่างไม่จบสิ้น และมันก็เป็นแบบนั้นตลอดระยะเวลาที่ฉันเฝ้าสังเกตุ มันแสดงให้เห็นถึงกรอบและวงกลมที่จำกัดความคิดของเราเอาไว้ ฉันได้ทำการทดลองเกี่ยวกับสภาวะทางอารมณ์และความคิด เฝ้ามองดูความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น จนรู้ชัดเจนว่าทุกอย่างที่มีการจุดประกายและเกิดขึ้น ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม ย่อมมีความแปรปรวน จางคลายและจะหายไป จากนั้นจะมีสิ่งใหม่ เข้ามาทดแทนและก็กลับไปกลับมาอย่างนี้เสมอ เมื่อฉันเห็นถึงอารมณ์และความคิดเหล่านี้ ฉันก็รู้สึกถึงความน่าเบื่อน่าขยะแขยงในความคิดและความต้องการเหล่านั้น  ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าฉันเกิดมาทำไมเกิดมาเพื่ออะไร ใครเป็นคนสร้างสิ่งที่ถูกเรียกว่าชีวิตนี้ขึ้นมาก็ตาม แต่ฉันเองก็คิดว่าฉันไม่ต้องการมันเลยแม้แต่น้อย หลายครั้งที่ฉันเองด่าทอพระเจ้าที่ยัดเยียดความทุกข์เหล่านี้ให้กับฉัน แต่มันก็เป็นเพียงการระบายความรู้สึกเบื่อหน่ายของฉันเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงตรรกะและเหตุผล มันบอกฉันว่าพระเจ้าไม่ได้มีอยู่จริงๆ พวกเราทุกคนอาจถูกหล่อหลอมขึ้นจากผงฝุ่นที่ถูกก่อกวนให้ตื่นขึ้นจากการหลับไหลมากกว่า มันเป็นเรื่องยากที่เราไม่สามารถรู้ถึงต้นกำเนิดของตัวเอง และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกของการกล่าวถึงบุคคลที่สาม เพื่อกลบเกลื่อนความคิดทั้งหมดเหล่านั้น แต่อย่างไรก็ดี ส่วนตัวฉันก็รู้สึกถึง ความไม่มั่นคงและชีวิตเหล่านี้ก็เปราะบางเกินไป ที่จะเอาอารมณ์เหล่านั้นยัดเยียดเข้าไป ความต้องการที่ไม่รู้จักพอจะทำให้ชีวิตตกอยู่ในความยากลำบาก พวกเขาแค่ไม่มองให้เห็นถึงสิ่งที่แปรเปลี่ยนเหล่านั้น พวกเขาจึงไม่รู้จักชั่งใจว่า ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาเดี๋ยวมันก็จะจางคลายและผ่านออกไป ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความเกลียดชัง หรือความโลภ โกรธหลงก็ตาม เมื่อมันเกิดขึ้นกับเราแล้ว มันก็จะจางคลายและหายไปในที่สุด ถึงแม้เราจะเฝ้าดูมันแต่กลับจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่ามันหายไปตอนใหน ผลจากการทดลองสิ่งเหล่านี้ มันทำให้ฉันไม่มีความต้องการที่มากเกินไป และบางครั้งฉันเองก็โทษถึงการมีอยู่ เพื่อที่จะตาย เราทิ้งร่องรอยของความทุกข์ให้กับคนรุ่นถัดไป เรามอบชีวิตและความตายให้พวกเขาเพื่ออะไร เราควรตัดวงจรแห่งความเจ็บปวดเหล่านี้ลงไป เราไม่ควรมอบชีวิตให้ใครด้วยซ้ำ สัญชาตญาณของเรามันกล่าวถึงเรื่องของความรัก ทั้งที่ความจริงเเล้วเราเพียงแค่กลัว เท่านั้นเอง กลัวที่จะต้องอยู่และตายเพียงคนเดียว กลัวถึงความเจ็บปวดและไม่มีใครหันมอง มันดูเป็นสิ่งละเอียดอ่อนแต่ ที่จริงมันเป็นเรื่องตลกร้าย เมื่อเราสืบทอดเผ่าพันธุ์แห่งความเจ็บปวดเหล่านั้นให้ขยายออกไป ความตายที่ไม่สิ้นสุดความเจ็บปวดและทรมานเหล่านั้นจะกลืนกินพวกเขาไปจนกว่า โลกนี้จะแตกทำลายลง และเมื่อใกล้ถึงวันนั้น ความทุกข์ที่แสนสาหัสก็จะเกิดขึ้นแก่พวกเขา ทายาทแห่งความเจ็บปวด ความขาดแคลนและแออัดจะทำให้พวกเขาต้องฆ่าและเเย่งชิงเพื่อการมีอยู่ของสิ่งที่ถูกเรียกว่าชีวิตนั่น เมื่อคิดมาถึงตอนนี้ อะไรล่ะที่เป็นความหมายที่แท้จริงของชีวิต ความอยาก ความเห็นแก่ตัว และความกลัว ใช่ไหม และถ้าเป็นไปได้หากชีวิตไม่ถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่แรกนั่นแหละ ถึงจะเรียกได้ว่าสงบสุข

วันจันทร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2566

แสงสว่างแม้จะน้อยนิดแต่จะพิชิตความมืดมนได้เสมอ

แสงหิ่งห้อยอันน้อยนิด จะเริ่มส่องสว่างมากยิ่งขึ้นในยามที่ท้องฟ้ามืดสนิทลง ด้วยเหตุอันใด ชีวิตคนๆนึงก็จะมีคุณค่ามากที่สุดก็ต่อเมื่อ องค์ประกอบของชีวิตนั้นเหมาะสมกับสิ่งที่ตัวบุคคลเหล่านั้นเป็น นั่นเอง

รักเพื่ออะไร


ผมพยายามติดตามดูชีวิตของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเด็กที่เชื่อเเละศรัทธาในความรักมาก เธอมีครอบครัวที่อบอุ่นเธอดูเป็นคนอ่อนโยน แต่เมื่อเธอต้องผ่านวัยที่ต้องการใครอีกคนเพื่อจะสร้างครอบครัวใหม่เธอก็ต้องพบเจออะไรอีกมากมายข้างนอกนั่น เธอก้าวเข้าสู่เส้นทางของสังคมเพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ๆรอบตัว จนเธอต้องพบเจอเรื่องราวมากมายทั้งดีและร้ายจากชีวิตที่ไร้เดียงสาก็เริ่มมองเห็นอีกมุมหนึ่งของสังคม ผมพยายามปลอบเธอทุกครั้งที่เธอนั้นเสียใจและดูอยู่ห่างๆเพียงเพื่อจะคำตอบที่พยยามตามหาว่าที่จริงแล้วคนเราต้องการความรักเพื่อจุดประสงค์อะไร เรื่องการพบเจอกันระหว่างคนสองคนเเล้วตกลงจะอยู่ร่วมกันใช้ชีวิตร่วมกัน ในหลายแง่มุมที่ผมพยายามจะหาคำตอบมั้นอาจจะเกินสิ่งที่ทุกคนจะเข้าใจ เราอาจถูกสร้างมาเพื่อเป็นแบบนี้หรือเราจะตัดสินใจทำตามความต้องการของสิ่งที่กระตุ้นมันเท่านั้น เพราะชิวิตมันเหตุขึ้นจากหลายเรื่องราว บางทีเราอาจจะไม่เข้าใจถึงสิ่งที่แท้จริงในสิ่งที่ถูกเรียกว่าชีวิตก็เป็นได้ มันซับซ้อนเเละละเอียดอ่อนมาก
ความรักก็เช่นกัน มันอาจจะผลิดอกออกผลให้ดังใจเราปรารถนาไม่ได้ เหมือนการปลูกต้นไม้ หากเราดูแลอย่างไม่เคยเข้าใจเลยมันก็อาจจะตายลงได้ เราต้องศึกษาถึงหลักเกณฑ์ของต้นไม้ให้เข้าใจก่อนเราจึงจะดูแลมันได้ เพราะไม่อย่างนั้นบางทีสิ่งทีเราคิดว่าดีแต่มันอาจจะทำลายทุกอย่างให้พังลง เช่นถ้าเกิดเราปลูกต้นไม้ขึ้นมาต้นหนึ่งเราคิดแค่ว่าต้นไม้ต้องการปุ๋ยและน้้ำเราใส่ปุ๋ยรดน้ำเกิดพอดีมันก็อาจจะตายได้ง่ายๆ ขณะเดียวกันที่ความรักถ้าเราเอาใจใส่มากไปเกินพอดีมันก็จะทำให้เกิดความรำคาญและจบลงได้เหมือนกัน
แต่นั้นก็ไม่ใช่คำตอบทั้งหมดที่ผมตามหาอยู่ดีเพราะนั่นมันเป็นแค่กลไกของความรักแต่คำถามของคำตอบคือรักเพื่ออะไรทำไมต้องรัก