วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2561

อย่าดิ้นรน

ในช่วงเวลาหนึ่ง ณ.จุดๆหนึ่ง คนที่พยายามค้นหา จะรู้จักและเข้าใจว่าบางอย่างอาจจะมี แต่ไม่ง่ายที่จะพบเจอ ส่วนสิ่งที่มีมากมายกลับดูไร้ค่า เช่นความรักกับคนที่มักจะชอบคิดไปเอง ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ท้ายสุดมันก็สนองความรู้สึกอันแสนสาหัสคืนกลับมา เพียงเพราะว่าคนเราพยายามสวมหน้ากากเดินเข้าหากันเพียงแค่ผลประโยชน์ภายนอกเท่านั้น ลึกๆลงไปต่างคนต่างปกปิดสันดารที่แท้จริงเอาไว้ โดยมิให้ฝ่ายตรงข้ามรับรู้ แต่ที่สุดความจริงมันย่อมเปิดเผยตัวตนของมันเองยามที่ความอดทนของแต่ละคนอ่อนล้าลง และตรงจุดนี้ จะเป็นจุดแตกหักที่ร้ายแรง เพราะความจริงที่ว่าทุกสิ่งที่ถูกบีบอัดจนหนาแน่น ย่อมให้อนุภาพที่ร้ายแรงตามความหนาแน่นของสิ่งๆนั้น อารมณ์ของคนก็เช่นเดียวกัน ยังไงความจริงมันก็ยังคงเป็นความจริง และความจริงก็มิอาจเอาสิ่งใดมาลบล้างลงได้
   ฉนั้นการใช้ชีวิตที่ผิดแปลกไปของผู้คนในยุคปัจจุบัน นั้นมันฉุดกระชากให้คนเหล่านั้นออกห่างจากความจริงจนลืมสันดารของตนเอง ทั้งที่ทุกอย่างกำลังเดือดอยู่ภายในเพื่อรอคอยการระเบิดออกมา ดังนั้นทุกอย่างที่เราเห็นความรุนแรงดุร้ายป่าเถื่อนเหล่านั้นมันก็คือสันดารเดิมแท้ที่คนพยายามปกปิดและบีบอัดมันเอาไว้นั้นเอง เราก็ไม่ได้อธิบายให้เจาะจงไปที่บุคคลใดๆ แต่โดยรวมถ้าคนเรายังไม่เปลี่ยนแปลงความคิดของตน วันต่อไปข้างหน้าเราก็คงจะเห็นความป่าเถื่อนดุร้ายยิ่งขึ้น และท้ายสุดคนเราก็จะไม่เหลือความเป็นคนในวันนั้นผู้คนจะไม่เหลือสติ แต่จะมีเพียงสัญชาตญาณ เหมือนกับสัตว์เท่านั้น เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากความทะเยอทะยาน ความดิ้นรนเพืรอจะยกตัวเองให้ลอยเด่นขึ้นมาเท่านั้น เราเข้าใจและเพียงจะเขียนถึงภัยต่างๆที่มันจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า โดยส่วนตัวแล้วมิได้คิดว่าจะกล่าวถึงหรือส่อเสียดผู้ใด แต่แค่อยากให้ผู้ที่อ่านมาเจอทความนี้ได้ตระหนักถึงการใช้ชีวิตตามที่มันควรจะเป็นใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต อย่าดิ้นรนเพื่อจะยกตัวให้อยู่สูงจนเกินไป เพราะยิ่งสูงเท่าไหร่โอกาสที่จะตกลงมาตายก็มากขึ้นเท่านั้น จงรู้จักในความพอดี รู้จักมองตัวเองจากด้านหลัง และจำไว้ว่าภายใต้ความเป็นธรรมชาติอันยิ่งใหญ่นี้ แค่คุณทำตัวให้เหมือนเศษเสี้ยวของดินปลายเล็บเมื่อเทียบกับแผ่นดินทั่วปฐพี เพียงแค่นี้คุณก็ มีค่าเพียงพอแล้วใช้ชาติกำเนิด นี้ของคุณ แล้ววันนหึ่งคุณจะเข้าใจ

                                                                     11/12/18
               เขียนโดย ......สุธา สุวรรณเวลา

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เตรียมตัวเดินเข้าหลักประหาร

     



                 เมื่อสติกลับคืนมา เวลาก็ผ่านไปตั้งนาน ที่สุดหลักประหารมันก็รออยู่ข้างหน้าของเราถึงแม้เราจะไม่ได้รู้แน่ชัดในวันตัดสินแต่ก็เชื่อเถอะว่าสิ่งที่อยู่ต่อหน้ามัน คือความตาย  เมี่อก่อนคนเราทุกคนต่างกลัวและไม่อยากจะพบเจอแต่จนแล้วจนรอด หลายคนก็เดินเข้าไปหามันอย่างหลีกไม่ได้ มันเป็นจุดหมายสุดท้ายบนโลกใบนี้ จุดหมายสุดท้ายของชีวิตนี้หลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรโลกหลังความตายจะมีอะไร ไม่เคยมีใครพิสูจน์ให้ชัดเจนได้เลย อาจจะเคยมีใครหลายคนที่อ้างว่าตัวเขาได้ไปเยี่ยมเยียนดินแดนหลังความตาย และกลับมาเล่าก็ไม่น้อยแต่ก็ไม่มีอะไรที่ยืนยันชัดเจนว่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะที่สุด มันก็เป็นแค่การกล่าวอ้าง มันจะเป็นอย่างไรก็ตาม ถ้าเราหมั่นจดจำและกระทำแต่เรื่องดีๆ กระแสความคิดเราก็จะไม่หม่นหมองเศร้าโศก หลังจากที่เราตายลง จากร่างนี้ หากเรายังยึดติดหรือใฝ่คว้าในสิ่งที่เรายังอยากมี จิตของเราคงจะไม่หม่นหมองไม่ตกต่ำ ได้ไปสุขคติภูมิ โดยแท้ แต่กลับกันหากเราทำผิดคิดเบียดเบียน ยึดติดในสิ่งของที่เคยสร้างไว้ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ หลังจากเราหลุดจากร่างนี้กระแสความคิดเรายังหมองหม่นแน่นอนว่าเราจะต้องไปตกอยู่จมอยู่กับความยึดติดนั้นไปอีกนานเท่านาน ถึงอย่างไรก็ตาม ถ้าหากชาติต่อไปยังมี  ผมเองก็ไม่อยากที่จะมีชีวิต ขึ้นมาใหม่ อย่างที่ใครหลายๆคนต้องการ อยากเกิดในที่ดีๆ อยากเกิดมาในครอบครัวที่พร้อมเพรียงร่ำรวย  สำหรับผมแล้วเพราะการที่มีเราเกิดมานี้แหละ จึงมีปัญหาต่างๆตามมา แต่ละคนใช้เวลาหลอกตัวเองกันมาอย่างยาวนานเพื่อจะบอกว่านั้นคือความสุข ทั้งที่จริงแล้วมันไม่ใช่ เราแค่เผลอไปยึดติดกับสิ่งต่างๆรอบตัวเท่านั้น ผมไม่จำเป็นต้องบอกใครหรอกว่าผมรู้และเข้าใจอะไร ใครที่หลงเข้ามาอ่านบทความนี้ก็ให้ใช้พิจารณากันดูก็แล้วกัน ส่วนตัวผมเองเชื่อในวัฏจักรของชีวิต เชื่อในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเรา และไม่เคยสนใจต่อสิ่งต่างๆรอบตัวด้วยซ้ำ เราอยู่แค่เพราะยังต้องอยู่ เราไม่ได้อยู่เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง เราอยู่เพราะความโง่เขลาของตัวเราเอง ดังนั้นเราจะต้องสนใจอะไร แต่คนที่เค้าอยู่เพื่อสิ่งอื่น อยู่เพราะคิดว่าต้องเป็นอย่างนู้นอย่างนี้ มันก็เรื่องของเขา เพราะที่สุดเค้าก็ไม่ได้เป็นอะไร และไม่เหลืออะไร แถมยังมีความอยากติดตัว ไปเรื่อยๆ ไม่มีสิ้นสุด ส่วนเราก็ช่วยอะไรเค้าไม่ได้เพราะคิดว่าทุกอย่างมันเพียงพอแล้วไม่อยากได้ไม่อยากเป็นแล้ว มันจบแล้ว จบแค่นี้ และอยู่กับสติที่เหลืออยู่ไม่ เอาความปรารถนาใดๆ มาให้กวนใจอีก แค่ระลึกมันอยู่เสมอ จนวาระสุดท้ายของลมหายใจเท่านั้นเอง  บางทีอาจมีใครต่อใครว่า เลอะเทอะ ก็แล้วแต่มันไม่มีใครห้ามกันได้แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นจริงมากก็คือ ไม่มีใครใช้ชีวิตไปและรู้ว่าลมหายใจกำลังใหลเวียนผ่านกายนี้อยู่ เพราะต่างคนต่างเพลินไปกับสิ่งยั่วยุทั้งหลาย จนลืมลมหายใจของตัวเอง มีใครบ้างที่ไม่เคยลืมลมหายใจของตัวเอง ลองบอกมาหน่อย  ต่างคนต่างหลงไปในสิ่งต่างๆ โดยให้ชีวิตตนเป็นไปตามสภาวะของธรรมชาติทั้งนั้น ไม่เคยมองสิ่งสำคัญของตัวเองเลย ติดอยู่กับความหวัง อย่างลืมตัว อายุก็ลดยวบ ไม่เหมือนคนในอดีตที่ผ่านมา ในยุคที่เค้าไม่มีความเจริญทางวัตถุ แต่เค้ามีจิตใจที่แสนจะดีงาม โกรธกัน ก็ไม่อาฆาต พยาบาท เรื่องเล็กน้อยก็อภัยแก่กัน แต่มาถึงตอนนี้ ยุคที่มนุษย์คิดว่าตนเองเก่งไม่มีใครเกิน แต่จิตใจกลับต่ำลง ฆ่ากัน ข่มขืน กระทำความหยาบช้า ด่าทอแก่งแย่งชิงดี คบชู้สู่ชาย นี้มันไม่ใช่ยุครุ่งเรือง แต่เรากำลังเดินเข้าสู่ความเสื่อมทราม ขาดสติอย่างไม่รู้ตัว  อารยธรรม ของมนุษย์กำลังจะล่มสลายในอีกไม่ช้า สิ่งนี้มันอยู่เหนือความใส่ใจ แต่ก็มีผู้ที่รู้และเตรียมพร้อมรับมือ และมอมเมาคนส่วนใหญ่เอาไว้ เพื่อไม่ให้คนหมู่มากล่วงรู้ในแผนการของเขา แต่สำหรับผมเอง จะไม่หนีและไม่ใส่ใจอะไรต่างๆ ทั้งนั้น ถึงแม้จักรวาลจะยิ่งใหญ่กว้างไกลเท่าไร แต่สุดท้ายความตายก็จะตามหาเราจนเจอ เจตนาที่แท้จริงของบทความนี้ ไม่ได้เขียนเพื่อใคร เพียงแต่ไว้เตือนสติ ตัวเอง เท่านั้นเอง


                                                                                    เขียนโดย   สุธา สุวรรณเวลา 

วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2561

วันนึงกูก็ตาย

   พูดถึงเรื่องของความตาย หลายคนคงจะนึกกลัวและไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่สิ่งนึงที่แน่นอนที่สุดไม่ว่าเราจะกลัวแค่ใหน
สิ่งเหล่านี้ก็จะเกิดขึ้นกับเราโดยแน่นอน
จะช้าจะเร็วมันก็สุดแล้วแต่เวลา มันอาจเกิดขึ้นกับเราโดยตรง เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวคนรู้จัก
คนที่เราผูกพันธ์มากแค่ใหน ความตายก็ไม่เคยละเว้น เพราะทุกอย่างย่อมเกิดดับ อยู่อย่างนี้ แม้แต่ โลก ดวง อาทิตย์ และดวงจันทร์ หรือดวง ดาวทั้งหลายยังต้องดับ และนับประสาอะไรกับชีวิต ที่มีเวลาแค่น้อยนิดอย่างร่างกายเรานี้ เราแค่ผ่านมาแวะพักและจากไปเท่านั้น เมื่อก่อน ผมเองก็นึกอยู่ตลอดว่าอยากจะทำอะไรต่างๆ
มากมาย อยากให้มีคนจดจำตั้งความหวังเอาไว้ต่างๆนาๆ รักลูก รักครอบครัว เท่าชีวิต แต่พอมาคิดดูอีกที เราก็แค่ต้องทำหน้าที่ความเป็นมนุษย์คนนึง เท่านั้นเราไม่อาจรั้งใครจากความตายได้เลย แล้วเราจำเป็นต้องเสียใจ ฟูมฟาย ใช่ไหม
ยามที่ทุกอย่างดำเนินไปตามกฏเกณฑ์ อีกด้านนึงในใจอาจไหวหวั่น แต่ในความเป็นจริง
เราจำเป็น ต้องยอมรับ และผ่านมันไป เราอาจไม่เข้มแข็งพอที่จะรับความเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหัน แต่จงเชื่อและคิดไว้เสมอว่า ความตายไม่เคยบอกกล่าว ไม่เคยเห็นอกเห็นใจ และไม่เคยละเว้นใครหน้า ใหน ผมพยายามฝึกตนเองให้สงบ อยู่เสมอๆ และพยามคิดอยู่ในใจเสมอว่า ลมหายใจเราอาจดับลงไปเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่แน่วันพรุ่งนี้ หรือวินาทีนี้ ลมหายใจเราจะดับลงไปก็ได้ ฉนั้นเราต้องอยู่ด้วยความไม่ประมาท ไม่หลงลืม ว่าตัวเราคือใคร ส่วนสิ่งที่อยู่รอบกาย เราก็ทำไปตามความเหมาะสม ไม่เกินไป และไม่น้อยไป
เข้ากับคนอื่นอย่างเป็นปกติ เพียงแค่เราระลึกไว้ในใจเสมอว่าเราอาจจะตาย
ไปเมื่อไหร่ก็ได้ แค่นี้ ใจเราก็จะสงบ ไม่โลภ ไม่พยาบาท ใคร เพราะที่สุดความตายก็เกิดขึ้นกับเค้าเช่นกัน การทำใจให้สงบ มันก็มีข้อดีหลายๆอย่าง คือสามารถตัดความอยากได้สิ่งที่มันเกินความจำเป็นไปได้ ไม่รักใครจนหลงลืมตัว ไม่สนใจแม้ใครจะพูดอะไร ยังไง ผมพยามยามปลูกฝังความคิดเกี่ยวกับความตายการดับสูญเหล่านี้ให้หยั้งลึกลงในตัวเองมาเป็น
เวลานานหลายปีเพื่อดูสิ่งที่เกิดขึ้น จากครั้งหนึ่งที่เราเคยกลัวการพลัดพรากเหล่านี้อย่างมาก แต่ตอนนี้เรากลับเฉยไม่ได้หวั่นวิตกใดๆ เราเองก็ไม่รู้ว่าหลังความตายจะเป็นอย่างไรแต่
เราเชื่อว่าความตายมิใช่จุดจบแต่อย่างใดมันอาจมีอีกโลกนึงหลังความตายรอเราอยู่ คล้ายๆกับโลกของความฝัน ในขณะที่เราหลับไป มันอาจจะเป็นมิติที่ตาเรามองไม่เห็น แต่อาจจะต่างไปจากความฝันก็แค่เราอาจไปติดอยู่อย่างนั้นเพราะเราไม่มีร่างให้ตื่นมาอีก อะไรทำนองนี้ หรือว่าสิ่งที่เรากระทำมาขณะมีชีวิต อาจส่งผลใหัความคิดขณะใกล้ตายเราระลึกและก็ส่งผลให้เราไปติดอยู่ ณ. ที่แห่งนั้นก็เป็นได้ ส่วนตัวผมนะเมื่อก่อนผมกลัวความตายอย่างมาก แต่มาตอนนี้ผมกลับกลัว การเกิดมากกว่า ผมกลัวการยึดติด กลัวความโลภ ความโกรธ ความหลง มากกว่า เพราะเหล่านี้สร้าง ภัยให้กับตัวเองและคนรอบข้างเราได้อย่าง มหัน สิ่งเหล่านี้ทำโลกให้ทรุดโทรมไปอย่างรวดเร็วในเวลาแค่ไม่ปีที่ผ่านมา มันเป็นเหมือนพยามาร ที่สิงสู่ในตัวผู้คน ให้ทำร้ายเข่นฆ่าซึ่งกันและกัน อย่างไรก็ดี ในฐานะที่ทุกคนมีความคิดและสติ ก็ควรพิจารนา ใตร่ตรองกันดู่เอาเอง ว่าสิ่งใหนควรและไม่ควรปฏิบัติ อีกไม่นานเราก็จะตายไป เราควรเป็นรอยต่อของคนรุ่นหลังที่ดี มิใช่ เห็นแก่ตัว  มุ่งแต่หาความสุข เผาผลาญทรัพยากร ให้วอดวาย จนโลกนี้ต้องอายุสั้นไปเพราะฝีมือเรา หากเป็นเช่นนั้นแล้วเราจะดำรงเผ่าพันธุ์ไปเพื่อ
อะไร ให้ลูกหลานรับผลที่บรรพบุรุษสร้างไว้ให้อย่าง
ทุกข์ทรมานอย่างนั้นหรือ บทความนี้บางคนอาจจะอ่านแล้วเข้าใจ บางคนก็อ่านแล้ว งง ก็สุดแล้วแต่ แต่สำหรับผม เขียนขึ้นเพื่อใหมันดำรงอยู่แค่นั้น ใครจะอ่านหรือไม่มันไม่ใช่ประเด็น แต่สำหรับผม ผมได้รู้ว่าเมื่อวันนั้นเวลานั้น ผมคิดอะไร แค่นั้นมันเป็นเหมือนบันทึกส่วนตัว ที่อาจมีใครมาแอบอ่านก็ไม่ว่ากัน

                                                                             
         เขียนโดย ......สุธา สุวรรณเวลา

วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2561

เรื่องอะไรที่คนไทยมีสิทธิ์

              หลังจากมีเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ในแผ่นดินแห่งนี้ความถูกต้องไม่เคยโผล่ขึ้นมาจากดินได้เลย แต่สิ่งที่แพร่หลายกลับเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีคุณค่าต่อการดำรงอยู่เลย มันเป็นความเสื่อมที่ตกผลึก จนไม่สามารถนำออกไปให้พ้นได้เลย ใครมีความคิดที่แตกต่าง คือตาย  นี่หรือที่ถูกเรียกว่าประชาธิปไตย แน่ใจเหรอว่านี่คือประชาธิปไตย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเผด็จการ ชัดๆ
ทั้งที่ประเทศนี้จำต้องมีเยาวชน เป็นผู้ขับเคลื่อน แต่ทำไม จึงไม่รับฟังเสียงของผู้คน คิดแค่อยากบงการชีวิตของผู้คนเท่านั้นเหรอ ในเมื่อผู้นำคิดว่าตนอยู่เหนือความคิดของผู้คน ท่านก็จำเป็นต้องทำให้ประเทศอยู่ดีกินดี มิใช่เอากฏหมายมาบังคับให้คนอดอยาก เอากฎหมายมาข่มขู่คน 60กว่าล้าน เพื่อให้ตนยืนอยู่ในจุดสูงสุด แต่หลายอย่าที่คุณลืมนึกไปถึง นั้นคือ ทุกอย่างที่ท่านผู้นำถืออยู่ในมือนั้นมัน ไม่ได้ต่อกรกับคน 60กว่าล้านได้หรอก ดังนั้นคนที่ไม่อยากถูกตำนิจากคนหมู่มาก ก็ต้องบริหารจัดการ ให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยความสุจริต มีใช่คิดแต่ว่าโครงการ เพื่อเอาเงินงบประมาณมาเผาผลาญบำเรอ ชีวิตตัวเองและพวกพ้อง ทุกอย่างมันน่าละอายกว่าที่ประชาชน เค้าตีแผ่เสียอีก เพื่ออะไร เพราะอะไร เพราะความหลงที่ท่านผู้นำมีมันเกินเลยไปกว่าจะตัวท่านเองจะมองเห็นแล้ว มันไม่มีทางถอนตัวจากความสุขสบาย ที่มีอยู่ขณะนี้ได้ แต่ชนชั้นล่างเกษตรกร กลับอดอยาก หันหลังของประเทศกำลังสั่นคลอน หากว่าวันนึงหันหลังของประเทศนี้หักลง คราวใด คราวนั้นและทุกชนชั้นจะไม่มีเหลือจุดที่ตัวเองจะยืนอยู่ได้อีกต่อไป 
ทุกอย่างเป็นไปตามกลไก ถึงใครจะว่าไม่มีทางเกิดขึ้นก็แล้วแต่ แต่ความจริงเหตุย่อมพาไปสู่ผลอยู่แล้ว ความจริงข้อนี้ไม่มีใครหักล้างได้หรอก จะกี่ล้านปีถัดไป ความจริงย่อมเป็นความ จริงอยู่อย่างนั้น ทุกชนชั้นทุกมวลมนุษย์หรือสัตว์ทั้งหลายล้วนเดินไปสู่หลักประหาร มันเป็นอย่างนี้อยู่แล้วไม่มีใครหลักได้เลย แล้วทำไมต้องมัวหลงมัวเมาอยู่ในอำนาจ นั้นเป็นความโง่ ที่คนที่คิดอยู่อย่างนั้น จะรำลึกได้ในตอนใกล้ตาย ซึ่งสายเกินไปที่จะหวนกลับมาทำในสิ่งที่ตนควรทำ ควรเข้าใจตัวเองว่าหน้าที่ของตัวเองหรือมนุษย์นั้นคืออะไร และทำมันเสียตั้งเเต่ยังมีโอกาส มีใช่คิดได้ตอนใกล้ตายถึงตอนนั้นจะระลึกถึงความผิดความหลง ที่ผ่านมา มันก็ช่วยไรไม่ได้อีกต่อไป จำกันเอาไว้ให้ดี  "เรื่องอะไรที่คนไทยมีสิทธิ์"

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2561

เมื่อเรายืนอยู่ในที่ต่างกัน

การที่คนเรามีจุดยืนคนละแบบ มีมุมมองที่แตกต่าง และแนวคิดที่ต่างกัน มันมีทั้งส่วนดีและไม่ดี ด้านดีก็มีเยอะ เพราะทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆเพิ่มขึ้นทุกวัน มีทั้ง
ประโยชน์และไร้สาระ และภายใต้ความต่างนี้เช่นกันที่สร้างรอยแยก
อย่างรุนแรงขึ้นและนับวันก็จะยิ่งทวี ความร้ายแรงขึ้นทุกขณะ ทั้งความเห็นแก่ตัว ความอิจฉาริษยากัน ความโลภ และชื่อเสียงเงินทอง สิ่งนี้เกิดขึ้นทุกสังคม ทุกมุมโลก จนรอยร้าวเหล่านี้ยากเกินที่จะสมานให้เข้ากันดังเดิม เพราะความไม่รู้และทะเยอทะยาน เหล่านี้แหละที่จะทำให้คนรุ่นหลังไม่มีที่อยู่อาศัย และจะต้องเข้าแย่งชิงซึ่งทรัพยากรต่อกันใน ขณะที่มนุษย์คิดว่าตัวเองฉลาดในการใช้ทรัพยากร ก็จะมีความ โง่ ในการดูแลรักษา ในขณะที่มนุษย์ คิดว่าฉลาด ในการสร้างอาวุธ เพื่อข่มขู่เพื่อนร่วมโลก ก็ ยิ่งโง่ในการสร้างความปรองดองสามัคคี ในยุดปัจจุบัน มนุษย์เหมือนกำลังฆ่าตัวตายอย่างช้าๆ จากอีกด้านหนึ่งที่เป็นความโง่เขลาเหล่านี้ เหมือนที่เกริ่นไว้แต่แรก เพราจุดต่างของแต่ละคนนี้เอง จึงทำให้มนุษย์ต้องมุ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว ไม่ว่าทางข้างหน้าจะเลวร้ายหรือต้องสูญเสียมากมายเพียงใด มนุษย์ก็มาไกลเกินกว่าจะหยุดคิดแล้ว หลายอย่างที่มนุษย์ยังไม่รู้หรือละเลยมองข้างไปก็คือ วันหนึ่งทุกอย่างจะต้องพังทะลายลงไป วันหนึ่งดวงอาทิตย์จะดับ แผ่นดินจะเร้าร้อน มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายจะอยู่ไม่ได้ ถึงแม้เรื่องนี้จะยังอยู่ไกลเกินช่วงชีวิตของใครอีกหลายคนจะยังไม่เห็น แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เกิด เพราะกระบวนการเหล่านี้จะคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ และเมื่อถึงที่สุดเราจะไม่มีโอกาสใดให้ได้ตั้งตัวเลย ดังนั้นจุดต่างที่ก่อให้เกิดความแยตกแยกทั้งหลายเราก็ควรจะหลีกเลี่ยงมันเสีย เพราะสุดท้ายทุกชีวิตก็ล้วนจบในที่ๆเดียวกัน ไม่มีใครหลุดออกจากวงจรนี้ได้  หรือจะมีทางหลุดพ้น ทุกคนก็กลับมองเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่มีประโยชน์กันเสียส่วนใหญ่ ส่วนตัวเราผู้เขียนบทความนี้ ขอเป็นชนกล่มน้อยที่เชื่อในการหลุดพ้น และขอปฏิบัติตนเพื่อให้เดินไปสู่เส้นทางนั้น หากใครอ่านเจอบทความนี้และอยากรู้อยากเข้าใจทางที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้ก็แสดงความคิดเห็นกันไว้ได้ แล้วผูเขียนจะมาตอบ จำกันไว้ว่าตัวเรามีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่มีใครที่มีคนเองเป็นสองอย่างแน่นอน ฉนั้นจะคิดจะทำอะไรผลก็จะเกิดขึ้นกับเรา ตามเหตุ ตามผลของสิ่งที่เรากระทำเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดจะ ดลบันดาร อะไรให้เราได้หรอก ผลที่ได้มันมาจากการกระทำของเรา เท่านั้น