วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2561

วันนึงกูก็ตาย

   พูดถึงเรื่องของความตาย หลายคนคงจะนึกกลัวและไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่สิ่งนึงที่แน่นอนที่สุดไม่ว่าเราจะกลัวแค่ใหน
สิ่งเหล่านี้ก็จะเกิดขึ้นกับเราโดยแน่นอน
จะช้าจะเร็วมันก็สุดแล้วแต่เวลา มันอาจเกิดขึ้นกับเราโดยตรง เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวคนรู้จัก
คนที่เราผูกพันธ์มากแค่ใหน ความตายก็ไม่เคยละเว้น เพราะทุกอย่างย่อมเกิดดับ อยู่อย่างนี้ แม้แต่ โลก ดวง อาทิตย์ และดวงจันทร์ หรือดวง ดาวทั้งหลายยังต้องดับ และนับประสาอะไรกับชีวิต ที่มีเวลาแค่น้อยนิดอย่างร่างกายเรานี้ เราแค่ผ่านมาแวะพักและจากไปเท่านั้น เมื่อก่อน ผมเองก็นึกอยู่ตลอดว่าอยากจะทำอะไรต่างๆ
มากมาย อยากให้มีคนจดจำตั้งความหวังเอาไว้ต่างๆนาๆ รักลูก รักครอบครัว เท่าชีวิต แต่พอมาคิดดูอีกที เราก็แค่ต้องทำหน้าที่ความเป็นมนุษย์คนนึง เท่านั้นเราไม่อาจรั้งใครจากความตายได้เลย แล้วเราจำเป็นต้องเสียใจ ฟูมฟาย ใช่ไหม
ยามที่ทุกอย่างดำเนินไปตามกฏเกณฑ์ อีกด้านนึงในใจอาจไหวหวั่น แต่ในความเป็นจริง
เราจำเป็น ต้องยอมรับ และผ่านมันไป เราอาจไม่เข้มแข็งพอที่จะรับความเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหัน แต่จงเชื่อและคิดไว้เสมอว่า ความตายไม่เคยบอกกล่าว ไม่เคยเห็นอกเห็นใจ และไม่เคยละเว้นใครหน้า ใหน ผมพยายามฝึกตนเองให้สงบ อยู่เสมอๆ และพยามคิดอยู่ในใจเสมอว่า ลมหายใจเราอาจดับลงไปเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่แน่วันพรุ่งนี้ หรือวินาทีนี้ ลมหายใจเราจะดับลงไปก็ได้ ฉนั้นเราต้องอยู่ด้วยความไม่ประมาท ไม่หลงลืม ว่าตัวเราคือใคร ส่วนสิ่งที่อยู่รอบกาย เราก็ทำไปตามความเหมาะสม ไม่เกินไป และไม่น้อยไป
เข้ากับคนอื่นอย่างเป็นปกติ เพียงแค่เราระลึกไว้ในใจเสมอว่าเราอาจจะตาย
ไปเมื่อไหร่ก็ได้ แค่นี้ ใจเราก็จะสงบ ไม่โลภ ไม่พยาบาท ใคร เพราะที่สุดความตายก็เกิดขึ้นกับเค้าเช่นกัน การทำใจให้สงบ มันก็มีข้อดีหลายๆอย่าง คือสามารถตัดความอยากได้สิ่งที่มันเกินความจำเป็นไปได้ ไม่รักใครจนหลงลืมตัว ไม่สนใจแม้ใครจะพูดอะไร ยังไง ผมพยามยามปลูกฝังความคิดเกี่ยวกับความตายการดับสูญเหล่านี้ให้หยั้งลึกลงในตัวเองมาเป็น
เวลานานหลายปีเพื่อดูสิ่งที่เกิดขึ้น จากครั้งหนึ่งที่เราเคยกลัวการพลัดพรากเหล่านี้อย่างมาก แต่ตอนนี้เรากลับเฉยไม่ได้หวั่นวิตกใดๆ เราเองก็ไม่รู้ว่าหลังความตายจะเป็นอย่างไรแต่
เราเชื่อว่าความตายมิใช่จุดจบแต่อย่างใดมันอาจมีอีกโลกนึงหลังความตายรอเราอยู่ คล้ายๆกับโลกของความฝัน ในขณะที่เราหลับไป มันอาจจะเป็นมิติที่ตาเรามองไม่เห็น แต่อาจจะต่างไปจากความฝันก็แค่เราอาจไปติดอยู่อย่างนั้นเพราะเราไม่มีร่างให้ตื่นมาอีก อะไรทำนองนี้ หรือว่าสิ่งที่เรากระทำมาขณะมีชีวิต อาจส่งผลใหัความคิดขณะใกล้ตายเราระลึกและก็ส่งผลให้เราไปติดอยู่ ณ. ที่แห่งนั้นก็เป็นได้ ส่วนตัวผมนะเมื่อก่อนผมกลัวความตายอย่างมาก แต่มาตอนนี้ผมกลับกลัว การเกิดมากกว่า ผมกลัวการยึดติด กลัวความโลภ ความโกรธ ความหลง มากกว่า เพราะเหล่านี้สร้าง ภัยให้กับตัวเองและคนรอบข้างเราได้อย่าง มหัน สิ่งเหล่านี้ทำโลกให้ทรุดโทรมไปอย่างรวดเร็วในเวลาแค่ไม่ปีที่ผ่านมา มันเป็นเหมือนพยามาร ที่สิงสู่ในตัวผู้คน ให้ทำร้ายเข่นฆ่าซึ่งกันและกัน อย่างไรก็ดี ในฐานะที่ทุกคนมีความคิดและสติ ก็ควรพิจารนา ใตร่ตรองกันดู่เอาเอง ว่าสิ่งใหนควรและไม่ควรปฏิบัติ อีกไม่นานเราก็จะตายไป เราควรเป็นรอยต่อของคนรุ่นหลังที่ดี มิใช่ เห็นแก่ตัว  มุ่งแต่หาความสุข เผาผลาญทรัพยากร ให้วอดวาย จนโลกนี้ต้องอายุสั้นไปเพราะฝีมือเรา หากเป็นเช่นนั้นแล้วเราจะดำรงเผ่าพันธุ์ไปเพื่อ
อะไร ให้ลูกหลานรับผลที่บรรพบุรุษสร้างไว้ให้อย่าง
ทุกข์ทรมานอย่างนั้นหรือ บทความนี้บางคนอาจจะอ่านแล้วเข้าใจ บางคนก็อ่านแล้ว งง ก็สุดแล้วแต่ แต่สำหรับผม เขียนขึ้นเพื่อใหมันดำรงอยู่แค่นั้น ใครจะอ่านหรือไม่มันไม่ใช่ประเด็น แต่สำหรับผม ผมได้รู้ว่าเมื่อวันนั้นเวลานั้น ผมคิดอะไร แค่นั้นมันเป็นเหมือนบันทึกส่วนตัว ที่อาจมีใครมาแอบอ่านก็ไม่ว่ากัน

                                                                             
         เขียนโดย ......สุธา สุวรรณเวลา