วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ถึงเวลาจะผ่านไปนานแค่ใหนเราก็ยัง รู้สึกดีกับเธอเสมอ ถึงหลายๆอย่างเราจะเข้ากันไม่ได้แต่เราก็ยังอยากมีเธออยู่ในชีวิต ทุกๆวันเรายังคงคิดถึงเธอ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเริ่มรู้จักเธอ และได้เจอกัน หัวใจของเราก็ยังคอยคิดถึงอยู่อย่างนั้น ไม่มีเหตุผลว่าทำไม หลายๆครั้งที่เราอยากจะลืมเธอให้ได้เพราะความรู้สึกที่ไม่เหมือนกันระหว่างเธอกับเรา แต่แล้วเราก็แพ้ต่อความคิดถึงของตัวเองอยู่ดี เพราะเราไม่ใช่คนที่ตกหลุมรักใครง่ายๆ แต่สำหรับเธอตั้งแต่แว็บเรียกที่เจอกัน เราก็รู้สึกผูกพันธ์ คุ้นเคย เหมือนกับเราเคยรู้จักกันมาก่อน ถึงเธอเองจะไม่ได้รู้สึกแบบนั้น แต่สำหรับเราแล้วมันเป็นสิ่งที่พิเศษมากๆ ถึงตอนนี้เรื่องราวที่เกิดขึ้นต่างๆนาๆมันทำให้เธอไม่อยากจะพูดคุยกับเราอีกแล้ว แต่ตัวเราเองก็ยังคง ไม่เปลี่ยนไป  ยังคิดถึงและเป็นห่วง ยังปรารถนาดี กับเธอเหมือนเดิม

วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2567

5/10/24

 ครั้งนี้เป็นอีกครั้งนึงแล้วสินะกับการตัดสินใจที่เราคิดว่ามันคงจะถูกต้อง ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างยังคงเหมือนเดิมความรู้สึกที่เรามีก็ยังคงเดิม ถึงแม้เรื่องราวต่างๆมันจะสร้างบาดแผลให้เรามากมายสักแค่ใหน แต่เราก็ไม่เคยที่จะโทษใครๆ หลายๆเรื่องมันทำให้เราครุ่นคิด จนหลับตาไม่ลง หลายๆเรื่องมันทำให้เราจุกจนพูดออกไปไม่ได้ ไม่มีคนรอบตัวที่เราจะขอคำปรึกษาหรือที่ระบายใดๆ เราทำได้แค่เก็บทุกอย่างเอาไว้ และเพืี่อเซฟ สิ่งดีๆเอาไว้ เราเลยตัดสินใจปล่อยเค้าไป ทั้งที่ในใจเราเจ็บมากที่สุด แต่มันคงจะเป็นทางออกเดียว ที่เราทำได้ 
ทุกๆครั้ง ที่เราต่างคนต่างความคิดจนคุยกันไม่รู้เรื่องทั้งที่เราหวังดี แต่กลับกลายเป็นเหมือนการเอามีดไปกรีดที่ความรู้สึกของเค้า เราไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร ในเมื่อความหวังดีและคำพูดของเรากลายเป็นใบมีดที่คอยทิ่มตำเค้าอยู่ ทุกๆครั้ง ถึงแม้ว่าเราเองจะคิดถึงหรือรักเค้ามากมายสักแค่ใหน แต่ทุกคำพูดและการกระทำของเรามันกลับทำร้ายความรู้สึกของเค้าอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเราเองจึงคิดว่าเราควรตัดสินใจที่จะปล่อยเค้าไป เพื่อเซฟความรู้สึกของเค้าเอาไว้ และเราเองจะยอมเป็นคนที่แบกเอาความรู้สึกทุกอย่างไว้แค่คนเดียว ทั้งความเจ็บปวดและความผิดพลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้น สุดท้ายนี้เราเองยังยืนยันคำเดิมว่าเค้า คือคนที่เรารักและตามหามาตลอดช่วงระยะเวลา เพียงแต่เราไม่อาจจะรักษาเค้าเอาไว้ได้ และเราเองก็ไม่เคยรู้สึกโกรธเคืองหรือมีอคติใดๆเลยแม้แต่น้อย ทั้งช่วงเวลาที่ผ่านมาจนถึงเวลานี้ เรายังรักเค้าจนสุดหัวใจที่เรามี ถึงแม้ว่าความเป็นไปได้จะไม่หรืออยู่ แต่เราเองก็ยังรู้สึกรักและปรารถนาดี ต่อเค้าเสมอ ขอโทษกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น และขอบคุณความสุขและช่วงเวลาดีๆที่เราไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน เค้าคือความสุขที่เราเองตามหามาตลอด และยังคงจดจำเอาไว้เสมอ

27/9/24

เพราะคำถามของเธอทำให้เราคิดมากสบสนอีกรอบ
เราไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเรารู้สึกยังไง ตอนแรกที่เราเจอกัน เราก็ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรกับเธอแม่แต่น้อยไม่มีแม้แต่ความคาดหวังหรือความรู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ ตอนนั้นเราแค่รู้สึกเจ็บและตามหาคำตอบที่เราต้องการ แล้วก็ได้เจอกับเธอ ซึ้งเราก็รู้ว่าเธอเองก็คงไม่ได้รู้สึกอะไร เราแค่คุยกัน แต่พอเราคุยกันเยอะขึ้น เราเริ่มรับรู้เรื่องราวของธอ เราก็เริ่มรู้สึกกับเธอ รู้สึกว่าทำไมผู้หญิงตัวคนเดียวต้องแบกอะไรเอาไว้เยอะเเยะมากมายขนาดนี้ อีกทั้งยังเห็นว่าเธอยังใช้ชีวิตได้ดี โดยไม่ต้องแคร์ใคร ซึ้งมันก็ไม่ต่างจากเรา แต่เธอทำได้ดีกว่าเรา มากๆเธอเข้มแข็งแต่เรากลับอ่อนแอ เพราะแบบนั้นมันททำให้เรารู้สึกว่าเธอคือคนที่มีค่ามากๆ เรารักที่เธอเป็นแบบนั้น เราไม่ได้รักเป็นที่ผลประโยชน์ใดๆ ไม่ได้ต้องการสิ่งใดๆจากตัวเธอเลยสักนิด เราแค่รู้สึกมีความสุขทุกๆครั้ง ที่ได้คุยกัน ไม่ว่าเรื่องเหล่านั้นจะดีหรือไม่ เข้าใจกันหรือไม่ แต่เราก็มีความสุข จนบางครั้ง เราเองก็แอบคิดไปว่าเธอก็คงจะรู้สึกดีๆกับเราบ้าง และบางทีเธอก็คงอยากให้เราเข้าไปเป็นส่วนนึงในชีวิตของเธอ แต่เราก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเธอคิดอะไร รู้สึกยังไง มาพักหลังๆเราก็ทำใจได้ว่า มันไม่มีความเป็นไปได้ใดๆ เลยที่เธอจะคิดกับเราแต่ถึงอย่างนั้นเราเองก็ยังรู้สึกกับเธอไม่เคยเปลี่ยน มีความสุขที่ได้คุย กัน ไม่รู้สึกเหงา รู้สึกผูกพันธ์อย่างบอกไม่ถูก แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะเราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรเหมือนตอนที่เราเจอกันครั้งเเรกๆ เราแค่อยากทำสิ่งดีๆให้เธอ อยากพูดคุยกับเธอก็แค่นั้น ส่วนเรื่องอื่นๆ เราเชื่อว่ามันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้อยู่แล้ว เราแค่อยากให้ความรู้สึกผูกพันธ์แบบนี้มันคงอยู่ เพราะเรามีความสุขกับมัน แต่พอเธอตั้งคำถามว่าเราคิดยังไงกับเธอ เราเองก็ไม่รู้จะตอบยังไง เราแค่รู้สึกรักและผูกพันธ์กับเธอ เรารู้สึกแค่นั้นจริงๆ 

วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2567

• คบกับคนเจ้าชู้ 
ถ้าไม่อยู่เป็นของตาย
ก็อาจกลายเป็นของเล่น

• พื้นฐานจิตใจของคนเจ้าชู้
คือความโลเล
ดังนั้น อย่าคาดหวังคำตอบจากเขาว่าจะเลือกใคร
ที่ดีที่สุด ควรเป็นตัวเราเอง
ที่เลือกเดินออกมา

ต่อให้เขาเลือกเราจริง
ทุกอย่างก็ยากที่จะกลับไปเหมือนเดิม
แต่ที่จะมาเพิ่มเติม 
ก็คือความระแวงของเรา ด้วยเช่นกัน

• การใจอ่อน
เท่ากับเป็นการเปิดประตู
แห่งความทุกข์ซ้ำซาก

• อย่าไปถามเขา
ว่าเรามีค่าแค่ไหน สำหรับเขา
แต่ควรถามตัวเองให้ได้คำตอบชัดๆว่า
คนอย่างเขา มีค่าพอ
ที่จะเอาความสุข ชีวิต และอนาคตของเรา
ไปแลกด้วยหรือไม่

• อย่าเอาใจดีๆ
ไปแลกกับใจที่โลเล
เพราะเราจะกลายเป็นหนึ่งในสถิติ
ที่เขาย่ำผ่าน
และเขาจะกลายเป็นประสบการณ์
ที่เราอยากลืม

• อย่าคาดหวัง
ว่าความดีของเรา
จะเปลี่ยนใครให้ดีขึ้น

เพราะการให้ผลของความดี
หรือจากกรรมดีในบางครั้งนั้น
ก็สามารถทำให้ชีวิตเรา
เปลี่ยนเส้นทางต่างหาก
ทำให้หลุดพ้นจากคนร้ายๆ

แล้วความดีที่เคยสั่งสมไว้
จะไปดึงดูดคนดีๆ
ดึงดูดคนที่เหมาะเข้ามา
ดังนั้น อย่าท้อกับการทำดีครับ

______________________

บทความ : TUNYARLAI

วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2567

เมื่อความรักของเขาค่อยๆ ลดน้อยลง

ในขณะที่เรายังเฝ้าหวังว่า สักวันเดี๋ยวเขาก็จะกลับมาเป็นคนเก่า คนที่เคยรัก เคยทุกข์ เคยยิ้มหัวเราะเหมือนวันวาน

แต่ความเป็นจริงแล้ว

อดีตได้ผ่านไปแล้ว ไม่มีทางที่จะกลับมาเหมือนเดิม และ “ใจ” ของเขาก็เช่นกัน

หากเรากำลังเผชิญเหตุการณ์นี้อยู่

คนที่เราควรตั้งคำถามที่สุดคือ ตัวเราเองว่า วันนี้ได้รักเขาที่สุดแล้วหรือยัง ได้ทำเพื่อเขาจนสุดกำลังแล้วหรือยัง ได้มอบความรัก ดูแล เอาใจใส่เขาถึงที่สุดแล้วหรือยัง

หากเราได้ทำแล้วทุกๆ ข้อ แต่กลับพบว่ารักของเขาที่ให้กลับมาลดน้อยถอยลง จนแทบไม่เหลือ จนรักนั้นย้อนกลับมาทำลายตัวเราเอง

เช่นนั้นแล้ว เราจงภูมิใจเถอะว่าเราได้มอบรักให้คนๆ หนึ่งอย่างเต็มที่แล้ว ในเมื่อเขาไม่เห็น เขาไม่ต้องการ ไม่เห็นคุณค่ารักที่เรามอบให้

ควรถึงเวลาแล้วที่เราจะเอารักนั้นกลับคืนมาเพื่อ “รัก” ตัวเอง

นานเท่าไหร่แล้วที่เรารักเขา ทุ่มเทเพื่อเขา จนหลงลืมดูแลตัวเอง

นานเท่าไหร่แล้วที่เราต่างให้ใจให้ชีวิตของเราเพื่อเขา แต่เขากลับทำลายมันลงทุกครั้ง จนเราท้อแท้และเหนื่อยใจที่จะเดินไปต่อ

นานเท่าไหร่แล้วที่เราทุ่มเท ซื้อสัตย์ รักเดียวใจเดียว แต่เขากลับเห็นว่านั้นคือสิ่งที่น่ารำคาญ น่าเบื่อ

หากรักแล้วมันเหนื่อย มันทำให้เราไม่รักตัวเองแล้ว

จงเอารักกลับมาดูแลตัวเอง และรักตัวเอง รักคนที่เราควรรักจะดีกว่า

จงเก็บไว้ให้คนที่เขาเห็นค่า เพราะยังมีคนอีกมากมายต้องการมัน

อย่าเอาไปมอบให้คนไม่เห็นค่าแบบนั้นเลย ไม่คุ้มกันหรอก

เขาไม่มีค่าพอจะได้พบรักที่ยิ่งใหญ่และทราบซึ่งไปกับความรักดีๆ แบบนี้หรอก
.
#รักคือการให้
#ความทรงจำสีเทา

วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2567

11/8/2024

      เราไม่รู้เลยว่าเราทำผิดอะไร ตรงใหน ยังไง แต่ทุกๆครั้งที่เราอยากจะตั้งใจรักใครสักคน มันมักจะมีเรื่องราวที่เป็นเหตุให้ต้อง เข้าใจผิดกันมาโดยตลอด จนทุกๆครั้งมันก็มักจะจบลงไม่ค่อยสวยซักเท่าไหร่ เหตุการณ์เหล่านี้มันเลยทำให้ให้เรารู้สึกกลัว กลัวมากๆ กลัวว่าทุกอย่างจะวนเข้ามาซ้ำรอยเดิม กลัวว่าคนที่เรารักเค้าจะหายไป คงเพราะเป็นแบบนี้ เลยทำให้เราหวาดระแวง จนลืมนึกไปถึงใจของเค้า ล่วงเกินเวลาของเค้า จนกลายเป็นความน่ารำคาญ โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ ต่อไปเราจะปรับตัวให้ดีขึ้นลดความกลัวในใจลง แล้วเพิ่มความไว้ใจกับเค้าให้มากขึ้นกว่านี้ มันน่าจะทำให้เราเดินไปต่อได้อีก เราพร้อมที่จะขอโทษทุกเรื่องที่เราได้กระทำโดยที่เราไม่รู้ถึงผลที่จะตามมา ถึงแม้ว่าคำพูดของเราจะดูไม่มีน้ำหนักมากมายอะไร แต่อย่างน้อยๆเราก็ได้แสดงออกถึงความบริสุทธิ์ใจ ว่าสาเหตุที่เราได้ทำลงไปนั้น มันเกิดขึ้นเพราะอะไร 
เราไม่อยากให้ความงี่เง่าของเราไป ทำให้อะไรพังอีกแล้ว เราจะพยายามประคับประคองให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เราไม่ได้เสียดายเวลาที่เราเสียไป เพราะทุกๆนาที เราเต็มใจที่จะมอบให้อย่างไม่มีข้อแม้ ถึงแม้ว่าทุกๆนาทีจะมีค่า เพราะกว่าที่เราจะได้มาพบกัน รู้จักกัน จนเกิดเป็นความรักขึ้นนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และช่วงเวลานี้เราก็รักเธอมากไปแล้วด้วย เราเลยกลัวที่จะต้องเสียเธอไปเรากลัวมากๆ  เราไม่อยากให้มีอะไรเกิดขึ้นและสร้างรอยร้าว ระหว่างเราเลย เราจะทำตัวเองให้ดีขึ้นเพื่อจะได้อยู่กับเธอให้ได้นานที่สุด ที่ลมหายใจเราเหลืออยู่ เราไม่อยากแสวงหา ใครอีกแล้ว เราอยากให้เธอเป็นคนสุดท้ายในชีวิตของเรา นี่เป็นสิ่งที่เราอยากจะบอกเธอว่า ผู้ชายคนนี้คิดยังไงกับเธอ และอยากจะขอโทษในส่วนที่เราได้ทำผิดกับเธอไป ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ เรารักเธอมากนะติ๊ก เธอเป็นความสุข ที่เราไม่ได้เจอกับมันมานานมากแล้ว จนเมื่อเธอเดินเข้ามาในชีวิตของเรา เราก็มีเป้าหมายให้กับตัวเองอีกครั้ง เธอเป็นเหมือนโลกทั้งใบของเรา ณ.ขณะนี้ เราจะซื่อสัตย์และจริงใจกับ เพียงคนเดียว 


              สุธา สุวรรณเวลา(พื้นที่ส่วนตัว)

วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2567


#ชีวิตบนสายธารของกาลเวลา เราแค่ยังหายใจอยู่ แค่หัวใจเรายังเต้นอยู่ ก็เลยจำเป็นจะต้องอยู่ เผชิญกับ ความสุข ความทุกข์ ผิดหวังเสียใจ ทุกๆอย่างมันเป็นแค่เรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ที่หนีไม่พ้น ดังนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องวิ่งหนีอะไร ทุกอย่างเกิดขึ้นและหายไป เป็นสัจธรรมที่เราเองต้องยอมรับให้ได้อยู่แล้ว เราชนะคนทั้งโลกได้ก็ไม่มีความหมายอะไร ถ้าเรายังพ่ายแพ้ต่อจิตใจของตัวเอง ก็เพราะแบบนี้ชัยชนะที่ฉันต้องการคือการเอาชนะหัวใจของตัวฉันเอง ทุกอย่างผ่านเข้ามาและก็ผ่านไป แต่สิ่งที่ไม่หายไปคือสิ่งที่อยู่ในใจเรา ถ้าเราปลดพันธนาการเหล่านี้ลงได้ นั่นแหละคือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่เราควรจะทำ         



                               พื้นที่ส่วนตัว สุธา สุวรรณเวลา

วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

  
22/7/2567


วันนี้เป็นวันที่เราได้พบเจอกันครั้งแรก ถึงจะเป็นเวลาแค่เล็กน้อย แต่มันก็เป็นเวลาที่มีค่ามากสำหรับผม ผมมองเธอ เห็นเเววของเธอที่ยังรู้สึกกลัว  เธอก็คงยังไม่ไว้ใจผมมากนัก แต่ผมเองรู้สึกได้ถึงความจริงใจของเธอ คงเป็นเพราะเธอผ่านความลำบากมามาก เธอคงเจ็บปวดมาก เธอจึงยังไม่อยากยึดโยงชีวิตไว้กับใคร แต่ผมเองก็เข้าใจ เธอเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา แต่ทำไมต้องแบกภาระทุกอย่างเอาไว้คนเดียวด้วย เพราะแบบนั้นำความรู้สึกที่มันหายไปนานมากๆ จึงได้เกิดขึ้นกับเธอ ผมแค่อยากรู้สึกปกป้องเธอ อยากชดเชย สิ่งที่เธอไม่เคยมี นั่นคือความซื่อสัตย์เเละจริงใจจากใครสักคน อยากเป็นคนที่เธอไว้ใจ อยากเป็นที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย เมื่ออยู่ใกล้กัน อยากเป็นความอบอุ่น อยากเป็นกำลังใจให้เธอมีแรงทำงาน แต่ผมเองก็ไม่รู้ว่าเธอจะต้องการแบบนั้น รึเปล่า ผมไม่ได้คาดหวังอะไรจากเธอเลย เพราะบางทีมุมมองเราก็ไม่ได้เหมือนกัน  แต่ถ้าเธอเองรู้สึกดี รู้สึกปลอดภัย ทุกครั้งที่เราได้คุยกัน แค่เธอรู้สึกอย่างนี้ ฉันก็ดีใจมากๆแล้ว ในใจลึกๆผมเองก็หวัง ว่าเราจะได้อยู่ด้วยกัน เพราะเวลามันก็ล่วงเลยไป และผมเองก็อยากมีชีวิตที่เป็นหลักแหล่ง ผมไม่รู้หรอกว่า ทุกอย่างจะเกิดขึ้นหรือเปล่า เพราะมันยังมาไม่ถึง แต่ปัจจุบันนี้ แค่เธอบอกว่าเธอรู้สึกดี ที่เราได้คุยกัน แค่นี้ผมเองก็ดีใจ อย่างบอกไม่ถูก  ผมเองรู้สึกไว้ใจเธอ รู้สึกมั้นใจมากๆ ว่าเธอก็เป็นคนที่ดีคนนึงเลย     


      สุธา สุวรรณเวลา พื้นที่ส่วนตัว

วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2567



เห็นแล้วหดหู่นะ คนที่เอาชีวิตตัวเองไปแลกกับอุดมคติ ทั้งที่เบื้องหลัง มันมีคนเอาไปสร้างผลประโยชน์มากมาย คงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่โลกเราหมุนมาถึงจุดนี้ เราเฝ้ามองมันและเห็นความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น สมัยก่อน สังคมก้มหน้ามันมีแค่ในเมืองใหญ่ๆ แต่ปัจจุบันมันกลับเกิดขึ้นภายใต้สถาบันครอบครัว แล้วต่อไปโลกใบนี้จะเป็นอย่างไร ในเมื่อ คนส่วนมากเลือกที่จะเป็นแบบนี้ ภายใต้จิตใจที่เศร้าหมอง อนาคตที่เติบโตขึ้นมา คงจะยาก ที่จะได้เห็นการโอบอุ้มและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อีกหน่อยการแบ่งแยกระหว่างชนชั้นจะยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้น บางคนก๋ว่ามันเป็นเพราะเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดด แต่ส่วนตัวเรากลับเห็นว่าคนขาดสติปัญญา มากกว่า ทุกอย่างมันเป็นเหมือนดาบสองคม มีทั้งส่วนที่ดีและไม่ดี มันอยู่ที่การนำไปใช้ ทุกๆอย่างก็เป็นแบบนั้น ไม่มีอะไรที่มีแค่ส่วนดีแค่ส่วนเดียวหรอก แม้แต่อารมณ์ที่เป็นนามธรรมยังสร้างโทษได้มหันต์ แม้แต่ความคิดของเราก็ยังมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ที่เราไม่ใส่ใจเพราะเรารู้อยู่แล้วว่ามันจะเป็นเช่นนั้น อีกอย่างเราก็เขียนมันเอาไว้เพื่อสอนตัวเอง เพียงแต่ใครเห็นและอ่านมันจะนำไปใช้เราก็ไม่ได้ว่าอะไร เราให้ความสำคัญของชีวิตเท่าเทียมกัน เรายืนอยู่ในความถูกต้องและเคารพ ความจริงโดยสดุดี คนเห็นต่าง ก็ช่างเค้าเพราะอารมณ์มันเกิดกับเค้า เราไม่ได้ เอาความเห็นต่างเหล่านั้นมาลูบคลำยึดถือไว้ด้วย สักหน่อย

วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

9 เมษา 2567

เมื่อคืนเราฝันว่าเห็นเธอคนนั้นคนที่เรารัก แต่งตัวด้วยชุดสีขาวบริสุทธิ์ผมยาวผูกผมด้วยโบว์สีขาว
เธอเดินออกมาจากราวป่าทึบขณะที่เรายืนอยู่ในทุ่งหญ้าโล่ง ๆเธอเดินเข้ามาใกล้ แววตาเธอดูเศร้ามากๆ เธอจับมือเราไว้และเธอก็ได้บอกกับเราว่า อย่าเอาเธอมาเป็นตัวถ่วงอีกต่อไปเลย เธอร้องให้ และค่อยๆปล่อยมือเราแล้วแล้วหันหน้าเดินกลับไปหายเข้าไปในป่าลึก เราทำได้แต่มองดูเธอเดินหายไป เราไม่รู้ว่าฝันแบบนี้มันหมายความว่าอย่างไร แต่เรา ก็ตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยความตกใจมากๆ เราทำได้แค่นั้งคิด อยู่แบบนั้น ไม่รู้จะถามใคร แล้วความรู้สึก แย่ๆ ก็กลับเข้ามาในหัวของเราอีกครั้ง 
เพราะตั้งแต่เธอจากไป เราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย 
เราแค่รู้สึกว่า ความฝันแบบนี้มันอาจจะเป็น ลางไม่ดี แน่ๆ แต่เราก็ทำได้แค่เก็บเอาคนเดียว ตอนนี้เรารู้สึกเป็นห่วงเธอคนนั้นมากๆ แต่เราก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องทำยังไง มันยังมีบางส่วนลึกๆในใจของเรา ที่สื่อถึงกันอยู่ ถึงแม้ตอนนี้เธอคนนั้น อาจจะลืมเราไปแล้ว ณ. เวลานี้ แต่การที่เธอเดินออกไปแบบนั้น มันทำให้เรายังรู้สึกว่าทุกอย่างมันยังไม่จบลงแค่นี้ 
หรือ ว่าเราอาจะแค่คิดไปเอง แต่ตอนนี้ เรารู้สึกเป็นห่วงเธออย่างบอกไม่ถูก น้ำตาเราค่อยๆไหล ลงมาบนแก้ม ทั้งที่เราพยายามกลั้นมันเอาไว้ แต่ก็ทำไม่ได้ เรานั้งคิดว่าโชคชะตาทำไมถึงได้ชอบเล่นตลกอะไรแบบนี้ เรามีชีวิต มีจิตใจที่เต็มไปด้วยบาดแผลต่างๆมากมาย ปมในใจที่เราพยายามลบมันออกไปแต่ก็ไม่เคยจะทำได้สำเร็จ เวลานี้ เราทำได้แต่ถามตัวเองอยู่ซ้ำๆ ว่าเราจะต้องทำยังไง เราอยากบอกเธอ กับเรื่องราวทั้งหมดที่มันเกิดขึ้นกับเรา เราอยากให้เธอได้รับรู้และเข้าใจ ถึงแม้มันจะไม่สำคัญอะไรกับเธอเลยก็ตาม แต่เราก็ยังอยากบอกเธออยู่ดี เราไม่รู้ว่า เรายังมีสติดีอยู่หรือเปล่า ที่กำลังวิ่งตาม สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่เราก็แค่อยากให้เธอคนนั้นได้รู้ว่าเรารักเธอมากแค่ใหน เท่านั้นคงเพียงพอแล้วกับสิ่งที่เราควรจะทำได้ เราอยากให้เธอรู้และเห็นเราในตอนนี้ จริงๆ

วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2567

ณ.ที่นี่ เวลานี้ 23:42น .พุธ 27 มีนาคม

         ช่วงเวลาหลายวันมานี้  ฉัน  เองก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ แถมตอนนี้กายก็ไม่สบายนิดหน่อย ขณะที่ฉันยังคิด เเละทำทุกๆอย่างใจฉันเองก็เป็นกังวลอยู่ไม่น้อย ถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ฉันคิดอยู่ตลอดเวลา ว่าทำไมชีวิตจึงต้องมีการแบ่งแยก บางทีอาจมีเหตุและผลต่างๆที่ซ่อนอยู่ฉัน อยากรู้จริงๆว่าเหตุผลเหล่านั้นคืออะไรกันเเน่ ช่วงเวลาเพียงไม่กี่วันที่ทำให้ฉันนึกย้อนวัยกลับไปนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ นึกถึงความหวังเก่าๆ ทุกอย่างดูชัดเจนมากๆ ฉันเห็นความรักที่บริสุทธิ์ ฉันเห็นรอยยิ้มที่จริงใจ ไร้สิ่งใดเเอบแฝง ไม่มีแม้แต่ราคะและตันหาใดๆ เลย ในแววตาคู่นั้น ฉันมองดูเธอด้วยความแปลกใจ สิ่งต่างๆผุดขึ้นในความคิดฉันมาเต็มไปหมด ทั้งคำถาม และความกลัว  ฉันรู้สึกถึงความรักที่แสนจะบริสุทธิ์จากดวงตาคู่นั้น แต่อีกใจหนึ่งฉันก็แปลกใจมากๆ ว่าสิ่งที่ฉันตามหามาทั้งชีวิต พอจะเจอก็เจอแบบไม่ตั้งใจ ฉันจำทุกอย่าง ของเธอได้ ฉันเริ่มรู้จักและเริ่มรักธอ เราพูดคุยถูกคอ แต่บางทีก็มีหลายๆอย่างที่ฉันประหลาดใจ เธอชอบคิด และมีมุมมองที่ตรงกับฉันมากๆ แต่ทุกอย่างกลับดูแย่ลง เมื่อฉันตัดสินใจที่จะคบกับเธอทางบ้านของเธอหลับไม่ยอมรับในตัวฉัน เพราะทั้งด้านการงานและสถานะทางสังคม  เรามีความแตกต่างกันมาก ถึงแม้ฉันจะมีความรู้อยู่ไม่น้อย แต่ฉันก็ไม่มีโอกาสที่จะใช้ความรู้เพื่อจะสร้างตัวตน จนทำให้ทางบ้านไม่สามารถยอมรับฉันได้ ตอนนั้นในใจรู้สึกว่า ฉันกังลังทำอะไรอยู่  ทำไม่ฉันจึงกล้าที่จะทำแบบนั้น เพราะฉันก็รู้ตัวเองดีอยู่ว่าฉันไม่คู่ควรกับเธอเลยด้วยซ้ำ แต่คงเป็นเพราะความรักที่ฉันตามหามาตลอด เลยทำให้ฉันกล้าที่รักเธอถึงฉันจะรู้ว่ามันไม่อาจเป็นไปได้  แต่เมื่อความรักมันเข้ามามันก็เบียดความคิดต่างๆหล่นหายไปหมดสิ้น ฉันรู้สึกเสียใจ เมื่อความหวังมันเริ่มเลือนหายไป ในเมื่อ สิ่งที่ฉันหามาทั้งชีวิต พอเจอได้ไม่นานก็หล่นหายไปในช่วงเวลาสัันๆ ฉันร้องให้เสียใจ อย่างบอกไม่ถูก  อีกอย่างคำถามเรื่อง ความรัก กับฐานะทางสังคม มันก็เข้ามา ฉันไม่รู้ว่าทำไมสองอย่างนี้ จึงมาอยู่ด้วยกันได้ ทั้งที่ความรัก มันไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยด้วยซ้ำ ฉันคิดอยู่นานมากๆ แต่ก็ยังไม่เข้าใจ จนฉันเห็นว่า เป็นเรื่องผลประโยชน์ที่คนสองคนนั้นจะอยู่กันอย่างมีความสุข ในภายหลังแต่ที่สุด ความสุขจริงๆมันคืออะไรกันแน่ การใช้จ่ายซื้อขายแลกเปลี่ยน สิ่งเหล่านั้นมันเป็นความสุขแบบใหนกัน เพราะชีวิตดำรงอยู่ด้วยปัจจัย 4ไม่ใช่เหรอ แค่มีปัจจัย4 ความรักก็เป็นไปได้ ใช่หรือเปล่า
แต่เพราะยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ทุกคน เดินเข้าหากันด้วยผลประโยชน์มากกว่าความดี ดังนั้นถึงแม้เราจะเป็นคนดี ซื่อสัตย์สุจริต แค่ใหนก็ตาม ถ้าเราไม่มีเงิน ทรัพย์สิน สมบัติ เราก็ ไม่มีค่าอยู่ดี ดังนั้นทุกวันนี้ฉันก็ไม่น่าเเปลกใจเลย ว่าวันนี้คนดีหายไป มีแต่เรื่องของผลประโยชน์มากกว่าที่ยึดโยงสังคมไว้ด้วยกัน มันก็ไม่แปลก ที่ใครอยากสุขสบาย แต่ความสุขสบายเหล่านั้นละคงทนแค่ใหนที่จะสร้างความสุขจริงๆได้ สุขโดยที่ไม่มีผลประโยชน์ทางสังคมมาเกี่ยวข้อง สุขแม้จะไม่มีอะไรเลย สุขที่แท้จริง
ฉันไม่รู้หรอกว่าใครจะคิดยังไง แต่ ฉันเองก็ยังมั่นใจว่า ความสุขที่แท้จริง มันอยู่ส่วนใหนสักที่หนึ่ง บน ที่อันไม่มีประมาณแห่งนี้ ดังนั้นถ้ามีคนพูดถึงความรัก ที่มีส่วนของผลประโยชน์เข้ามา เกี่ยวข้อง ก็พึงระลึกไว้เสมอว่า คุณถูกตัดสินไปแล้ว ตั้งแต่ยังไม่รู้จักคุณดีเลย ด้วยซ้ำ และถึงแม้คุณจะดันทุรังไป คุณก็ต้องเจ็บปวด อยู่ดี และอีกอย่างคนที่ตัดสินคุณ คนเหล่านั้นไม่ไม่รู้จักเรื่องความรัก เลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ตอนนี้ ฉันจะยังเจ็บ แต่ฉันก็พยายามมาเขียนเพื่อบอกช่วงเวลาชีวิต ให้ฉันได้จำ ตอนนี้ถึงฉันจะง่วงมากๆ ก็พยายามเขียนมันให้จบ เอาเป็นว่าฉันคงต้องเขียนไว้แค่นี้ ถึงแม้จะมีอีกหลายอย่าง ที่ฉันเข้าใจ แต่ก็คงเขียนต่อไปไม่ไหว ขอพักไว้ก่อน

วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2567

15 มีนาคม 2567


เช้านี้ ฉันเห็นแววตาของลูกสาว แววตาที่เต็มไปด้วยความโดดเดี่ยว โศกเศร้า ความเหงา และวิตกกังวล น้ำตาของฉันมันก็ไหลออกมาไม่ยอมหยุด คำถามต่างๆ วิ่งเข้ามาในหัว ฉันเห็นข้อผิดพลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต มากมาย เพราะฉันใช่ ไหมที่ทำให้เด็ก คนนึงต้องพบเจอกับความเจ็บปวดและเรื่องราวต่างๆ ตั้งมากมาย โดยที่เธอไม่ได้มีส่วนรู้เห็นอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่ก็มา แบกรับสิ่งเหล่านั้นโดย ที่เธอเองไม่ได้ก่อขึ้นเลย แม้แต่น้อย มันเป็นเพราะอะไร ขณะที่คำถามทุกอย่างยังคงดำเนินไป ไม่มีท่าทีว่าจะเบาบางลง น้ำตาของฉันนองเต็มหน้า ฉันเองก็แค่เป็นผู้ชาย ธรรมดา ๆ คนนึง ทำไมโลกนี้ ถึงได้เอาเปรียญฉันได้มากมายขนาดนี้ ความหวัง ความฝัน สิ่งที่ฉันพยายาม ประคับประคอง มันมา ทุกอย่างจมดิ่ง ลงไป ฉันจมอยู่กับความกลัว ไม่กล้าที่จะสร้างอะไรขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ เพราะความผิดพลาด ต่างๆที่เกิดขึ้น ฉันมองดูทุกอย่างด้วยความหวั่นไหว ไม่มั้นคง และบางที สิ่งที่ฉันคิดและตามหา มันอาจจะส่งผลเสียกับใครบางคนอีกครั้ง ในวันข้างหน้า มันจะต้องเป็นไปแบบนั้นอีกหรือ เปล่า ฉันเอง ก็ไม่รู้

วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

ความซื่อสัตย์ที่เเสนจะบริสุทธิ์


ผมคนนึงที่เคยยกมือไหว้หมา จนมีคนมองแล้วคิดว่าบ้าหรือเปล่า แต่ผมไม่ได้สนใจคนเหล่านั้นหรอกเพราะผมมีเหตุผลส่วนตัว ผมแค่บอกคนที่ถามไปว่าผมไม่ได้ไหว้อัตลักษณ์ความเป็นหมา แต่ผมไหว้ความซื่อสัตย์ของเค้าโดยยกตัวอย่างสั้นๆไว้ว่าเราเลี้ยงคนบางคนมาเป็นสิบ ยี่สิบปี เราสอนเค้า เค้าไม่พอใจเค้าโกรธถึงขั้นที่จะฆ่าเราได้เลย แต่เราให้ข้าวหมาบางตัวแค่คำเดียวเค้ายอมมอบกายถวายชีวิตให้เราได้เลย ถึงแม้เราจะทุบจะตีเค้าแค่ใหนเค้าก็ยอมรับความตายโดยเต็มใจ ไม่คิดจะเนรคุณแว้งกัดเราในภายหลังเลย แม้แต่น้อย เหตุการณ์ครั้งนั้นผมได้เห็นความซื่อสัตย์ที่แสนจะบริสุทธิ์ จากหมาจรจัดตัวนึง สัตว์ที่ผมเองเคยให้อาหารเค้าเพียงครั้งเดียวและก็เป็นเพียงเศษอาหารแค่เล็กน้อยเท่านั้น สัตว์ที่ผมโมโหเรื่องอื่นและเอาความโมโห ไปลงที่เค้า เมื่อผมได้สติผมเลยยกมือไหว้เค้าด้วยความเต็มใจโดยไม่ได้สนใจใครๆที่มองมา เพราะส่วนนึงในใจผมเองคิดว่าคนเหล่านั้น คนที่มองเข้ามา เค้าไม่มีค่าอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่กลับกันหมาจรจัดที่ไม่มีค่าใดๆกับใครคนอื่นกลับให้บทเรียนและมุมมองที่แตกต่างออกไป จริงอยู่ว่าความคิดเหล่านั้นมันเกิดขึ้นในตัวผมเอง หมามันไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย แต่ความคิดทั้งหมดเหล่านั้นก็เกิดขึ้นภายใต้เหตุการณ์ ที่ถูกกระตุ้น ให้ความคิดเหล่านั้นผุดขึ้นมาในหัวของผม 




สุธา สุวรรณเวลา